น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

"ยาระบาย"..อันตรายที่ทุกบ้านพึงระวัง!

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555


เมื่อพูดถึงยาระบาย คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าไม่มีอะไร หลายๆ คนใช้ยาระบายเพื่อลดความอ้วนโดยรับประทานต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน แต่หารู้ไม่ว่า วิธีดังกล่าว นอกจากเป็นการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องแล้ว ยังไม่ได้ผลในการลดความอ้วน และอาจเกิดผลเสียกับร่างกายตามมาอีกด้วย
วันนี้ทีมงาน Life & Family มีชุดความรู้ดีๆ จากศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยา โรงพยาบาลเวชธานี เกี่ยวกับอันตรายจากการใช้ยาระบายเป็นประจำมาฝากทุกบ้านกัน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามอ่านกันได้เลยครับ
ยาระบายมีหลายประเภท
ยาในกลุ่มยาระบายนั้น มีหลายประเภทตามกลไกการออกฤทธิ์ของยา ได้แก่ ยาเพิ่มปริมาณอุจจาระ ยาทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ยาประเภทหล่อลื่น ยาประเภทเพิ่มปริมาตรน้ำ ไฮเปอร์ออสโมติกเอเจนต์ เช่น ยาเหน็บ Glycerin และยาประเภทกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เช่น มะขามแขก ซึ่งการพิจารณาเลือกใช้ยานั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย ภาวะโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ หรือความรุนแรงของอาการท้องผูก
ใช้ยาระบายเป็นประจำ ทำให้เกิดอันตรายอย่างไร
ยาระบายที่นิยมซื้อใช้กันส่วนใหญ่ในบ้านเรา เป็นยากลุ่มกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ (Stimulant laxatives) เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรมะขามแขก และยา Bisacodyl (ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นยาเม็ดเคลือบสีเหลืองเล็ก ๆ) ขนาดการใช้ยาระบายกลุ่มนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการท้องผูก และการตอบสนองของผู้ป่วย และควรใช้เท่าที่จำเป็นในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ไม่ควรใช้ในการลดความอ้วน หรือใช้บรรเทาอาการท้องผูกติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะเมื่อใช้ยาในกลุ่มนี้ต่อเนื่องไปนานๆ จะทำให้เกิดภาวะลำไส้เคยชินต่อยาระบาย ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายได้เอง และจะทนต่อยามากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ลำไส้ทำงานไม่ปกติ ยากต่อการแก้ไข นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะปวดท้อง ระดับเกลือแร่เสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเวียนศีรษะได้อีกด้วย
การรักษาอาการท้องผูกที่ถูกวิธีคือ การรักษาที่สาเหตุ เช่น บางคนดื่มน้ำน้อยเกินไป ทานอาหารประเภทกากใยน้อยเกินไป มีภาวะเครียด หรือรับประทานยาบางประเภทที่ทำให้ท้องผูก เช่น ยาแก้ท้องเสียบางชนิด รับประทานมากเกินไปอาจทำให้ท้องผูก เป็นต้น
ส่วนการลดความอ้วนที่ถูกวิธีนั้น ควรรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และออกกำลังกายเป็นประจำ ส่วนการรับประทานยาระบาย เป็นการการระบายมวลอุจจาระออกจากร่างกาย ไม่ได้มีผลต่อการลดการดูดซึมไขมัน หรือลดไขมันที่สะสมอยู่ออกจากร่างกายแต่อย่างใด
ดังนั้น คราวต่อไป ก่อนหยิบยาระบายขึ้นมาใช้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ลองฉุกคิดดูสักนิดว่า พอจะแก้ไขด้วยทางเลือกอื่นได้หรือไม่ และให้ยาระบายเป็นทางเลือกอันดับท้ายๆ ดีกว่าไปทำลายระบบขับถ่ายของร่างกายด้วยการรับประทานยาระบายเป็นประจำจน ทำให้การทำงานของลำไส้ผิดปกติไป


ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

รวมพลังสกัดปัญหาวัยโจ๋ เสริมเกราะคุ้มกัน-เพิ่มทักษะชีวิต

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพสังคมปัจจุบัน ส่งผลให้เด็กและเยาวชนไทย มีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ มากขึ้น ทั้งยาเสพติด ติดเหล้า ติดเกมส์ และการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงต้องร่วมมือกันดูแล ป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าใกล้กับปัญหาเหล่านี้
ผู้ใหญ่ พ่เอแม่ ผู้ปกครอง จึงไม่ควรนิ่งดูดาย หรือ ปล่อยให้เด็ก และเยาวชน ยุคนี้ ต้องผจญอยู่กับปัญหาอย่างโดดเดี่ยว เพราะ นั่นหมายถึงว่า อนาคตของเด็กและเยาวชน มีโอกาสที่จะพลาดพลั้ง เกิดความเสียหายแก่การดำรง ชีวิตได้โดยง่าย
ต้องขอขอบคุณ ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ และนายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ที่ได้ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดโครงการ “ศึกษาสาธารณสุขร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ลดโรค เพิ่มสุขวัยรุ่นไทย” เพื่อดูแลวัยรุ่นให้ครอบคลุมทั้งมิติทางกาย จิต สังคม และปัญญา โดยใช้กลยุทธ์ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันปัญหา จัดระบบการดูแลช่วยนักเรียน สอนทักษะชีวิตและเพศศึกษาให้สามารถประเมินความเสี่ยง และหากมีปัญหาเกิดขึ้นก็สามารถเข้าถึงบริการที่เป็นมิตรได้
นายวิทยา บูรณศิริ ให้ความเห็นในแนวทางของ กระทรวงสาธารณสุข ว่า วัยรุ่นเดี๋ยวนี้เป็นหนุ่มสาวเร็วกว่าสมัยก่อน เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในช่วงอายุน้อยลง เฉลี่ยอายุ 15 ปี และใช้ถุงยางอนามัยเฉลี่ย 50% โดยในปี 2554 พบวัยรุ่นหญิงอายุ 10-19 ปี คลอดบุตรมากถึง 131,400 คน หรือประมาณชั่วโมงละ 15 คน คิดเป็น 17% ของจำนวนหญิงที่คลอดบุตรทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการคลอดบุตรในวัยรุ่นระดับโลกที่มี 11% ปัญหานี้จึงนำไปสู่ความไม่พร้อมในการเลี้ยงดูลูก ปัญหาทางเศรษฐกิจ เนื่องจากไม่มีงานทำ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมจึงทำให้วัยรุ่นตัดสินใจยุติตั้งครรภ์ด้วยวิธี ที่ไม่ปลอดภัย ทำให้เกิดอันตรายและความเสี่ยงต่อชีวิต อีกทั้งยังพบว่าวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นด้วย
“กระทรวงสาธารณสุข จะบูรณาการทีนเซ็นเตอร์ (Teen Center) ให้เป็นคลินิกสำหรับวัยรุ่นโดยเฉพาะ จะเปิดให้บริการอย่างเป็นมิตร ให้คำปรึกษา ตรวจรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้จะเปิดให้บริการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยตั้งเป้าว่าในปี 2559 จะต้องครอบคลุมโรงพยาบาลชุมชน 1,000 แห่ง หรือ 1 โรงพยาบาล 1 คลินิกวัยรุ่น ซึ่งจะทำให้วัยรุ่นเข้าถึงบริการ และลดการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร หรือลดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นได้” คุณ วิทยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวย้ำให้เกิดความสบายใจ
ด้าน นายสุชาติ ในฐานะเจ้ากระทรวงศึกษาธิการ ก็กล่าวถึงความรับผิดชอบทางด้านการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ศธ.จะตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือนักเรียน 226 ศูนย์ทั่วประเทศ เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในนักเรียน และดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเข้มแข็ง มีการเชื่อมเครือข่ายทั้งในและนอกสถานศึกษา นอกจากนี้ยังมีการพัฒนากิจกรรมเพื่อนที่ปรึกษา เพื่อให้นักเรียนที่ผ่านการฝึกอบรมแล้วสามารถให้คำปรึกษาช่วยเหลือเพื่อน นักเรียนที่ประสบปัญหาเบื้องต้นได้
ขณะที่ นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ขณะนี้ ศธ. ได้ร่วมกับกรมสุขภาพจิต และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดโครงการนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนขึ้น โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ที่จบทางด้านจิตวิทยาคลินิกมาประจำอยู่ที่โรงเรียน 1 คน เพื่อช่วยตรวจคัดกรองปัญหาสุขภาพจิต และให้การดูแลบำบัดรักษาเบื้องต้นภายในโรงเรียนได้ โดยปัจจุบันได้ทดลองนำร่องในโรงเรียน 24 แห่ง จาก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพะเยา ร้อยเอ็ด สระแก้ว นครศรีธรรมราช สมุทรปราการ และกรุงเทพฯ
“โรงเรียนมักจะเร่งแต่เรื่องวิชาการให้แก่เด็ก ทั้งที่ความจริงแล้วถ้าเด็กมีวิชาการแน่นเกินไป แต่ไม่มีวิชาชีวิตที่แน่นพอ ก็จะทำให้เด็กมีความก้าวหน้า แต่ไม่มีความสุข ดังนั้นเราต้องเร่งให้เด็กมีการเสริมสร้างพัฒนาทักษะชีวิตควบคู่ไปกับการ เรียน โดยให้เด็กได้รัก และเห็นคุณค่าของตนเองรวมทั้งผู้อื่น นอกจากนี้จะต้องให้เด็กคิดวิเคราะห์ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ ขณะเดียวกันต้องจัดการอารมณ์ และความเครียดของตัวเองได้ รวมถึงมีสัมพันธภาพที่ดีต่อผู้อื่น ซึ่งเหล่านี้จะเป็นภูมิให้กับตัวเด็กที่จะอยู่ได้ ไม่ว่าจะในสังคมที่มีความเครียดมากขนาดไหน หรือว่ามีการแข่งขัน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม”
รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวด้วยว่า จากการสอบถามไปยังนักจิตวิทยาประจำโรงเรียน พบว่าเด็กมักจะมาปรึกษาเรื่องการเรียน และความรัก ซึ่งน่ายินดีที่เด็กวัยรุ่นไทยยุคนี้มีความกล้าที่จะมาพูดคุยและปรึกษามาก ขึ้น ดังนั้นถ้าทุกฝ่ายร่วมกันในการช่วยดูแลสอดส่องพฤติกรรมของเด็ก ลดเวลาเสี่ยง หากิจกรรมให้เด็กได้ทำเยอะๆ ลดพื้นที่เสี่ยงลง ก็มั่นใจว่าสถานการณ์ต่างๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นสถานการณ์เสี่ยงสำหรับเด็กก็จะลดลง
จุดเริ่มต้นของความร่วมมือในครั้งนี้ คงจะเป็นภูมิคุ้มกันให้เด็กและเยาวชนได้เป็นอย่างดี แต่เหนือสิ่งอื่นใดเกราะป้องกันที่แข็งแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นการเอาใจใส่ดูแล จากครอบครัว เพราะสังคมครอบครัวถือเป็นบ่อเกิดของความรัก ความผูกพัน ระหว่างประชาคมในครอบครัว อันประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก และ ญาติ พี่น้องอื่นๆ ซึ่งเป็น แหล่งสร้างความสุขที่มั่นคง แข็งแรงที่สุด โดยเฉพาะ ผู้เป็นพ่อแม่ ที่จะช่วยทำให้ลูกๆ สามารถก้าวผ่านช่วงวัยแห่งความเสี่ยงนี้ไปได้อย่างสำคัญที่สุด


ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย ปานมณี


PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

สัญญาณเตือนว่าสมองของเราเริ่มเสื่อมแล้ว

สธ.ห้ามขายเหล้าอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา


สมองของคนเราประกอบไปด้วยเซลล์ สมองนับเป็นพัน ๆ ล้านตัว ซึ่งเซลล์สมองมีลักษณะที่เปราะบางมาก และเมื่อเซลล์เหล่านี้ตายไปก็จะไม่มีการงอกขึ้นทดแทนได้ใหม่เหมือนผมและเล็บ
โดยธรรมชาติเมื่อคนเราอายุมากขึ้นจำนวนของเซลล์สมองก็จะลดจำนวนลงหรือที่ เรียกว่าสมองเริ่มเสื่อมถอย และถ้ามีปัจจัยของโรคต่าง ๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคสมองเสื่อมที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง โรคพาร์กินสัน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเนื้องอกหรือมะเร็งในสมอง โรคซิฟิลิสขึ้นสมอง โรคไทรอยด์ต่ำ โรคตับวาย โรคไตวาย รวมทั้งมีภาวะติดเหล้า ติดยาเสพติดหรือใช้ยานอนหลับเป็นระยะเวลานาน ก็จะยิ่งมีผลทำให้เซลล์สมองลดลงมากยิ่งขึ้นไปอีกเพราะมีการถูกทำลาย
ภาวะของสมองเสื่อมมักพบในกลุ่มของผู้สูงอายุ โดยเฉลี่ยมักพบในกลุ่มอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ซึ่งวิธีสังเกตถึงสัญญาณเตือนว่าสมองของตัวคุณเองหรือของคนใกล้ตัวเริ่ม เสื่อมแล้วหรือยัง มีดังนี้
1. หลงลืมข้อมูลที่มีความสำคัญ
ความจริงแล้วอาการหลง ๆ ลืม ๆ เป็นเรื่องปกติของคนที่มีวัยมากขึ้น เช่น ลืมว่าวางของไว้ที่ไหน แต่คนใกล้ชิดอาจต้องสังเกตว่าหากเป็นการลืมสิ่งที่สำคัญและพบเห็นอยู่ทุกวัน ในชีวิตนั้นถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ เช่น ลืมคนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิดที่เห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน หรือการลืมสิ่งที่เพิ่งทำไปในระยะเวลาอันสั้น เช่นเพิ่งทานข้าวเสร็จไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อมีใครมาถามว่ากินข้าวหรือยัง กลับบอกว่ายังไม่ได้กินหรือจำไม่ได้แล้ว ลักษณะหลงลืมเช่นนี้อาจวิเคราะห์ได้ว่าผู้นั้นเข้าข่ายของการมีความเสื่อม ถอยทางสมองแล้วก็เป็นได้
2. หลงลืมทิศทาง
ข้อนี้เป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายมากที่สุดอย่างหนึ่งของผู้สูงอายุที่มี อาการของโรคสมองเสื่อม ผู้อ่านคงเคยชินกับข่าวประกาศหาผู้สูงอายุที่หายออกจากบ้านผ่านทางรายการ วิทยุและสื่อต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจเกิดจากผู้สูงอายุเดินทางออกจากบ้านแล้วหาทางกลับบ้านไม่ถูก จำทางกลับบ้านไม่ได้หรือจำไม่ได้แม้กระทั่งซอยหรือละแวกที่อยู่อาศัย ผู้เขียนเคยได้ยินเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่มีผู้สูง อายุหายออกจากบ้านไป โดยผู้สูงอายุท่านนี้เป็นผู้ที่มีความรู้สูงลูกหลานก็พยายามตามหาโดยประกาศ ออกทางหนังสือพิมพ์ที่มีรายละเอียดและรูปของผู้สูงอายุท่านนี้ ปรากฏว่าผู้สูงอายุท่านนี้เดินออกจากบ้านไปเรื่อยๆ เพราะจำบ้านของตนเองไม่ได้ รวมทั้งจำไม่ได้ด้วยว่าตนเองเป็นใคร ชื่ออะไร ในที่สุดหลงเดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและผู้สูงอายุท่านนี้ได้มาขออาศัยอยู่ ในบ้านหลังนั้น ซึ่งเจ้าของบ้านเป็นคนมีจิตใจดีจึงได้ดูแลผู้สูงอายุท่านนี้ไว้ โดยผู้สูงอายุท่านนี้ได้คอยช่วยสอนการบ้านให้หลานเจ้าของบ้านอีกด้วย แต่ในที่สุดเรื่องนี้ได้จบลงแบบ Happy Ending เพราะเจ้าของบ้านได้อ่านพบข่าวในหนังสือพิมพ์และได้พาผู้สูงอายุท่านนี้ไป ส่งที่บ้านในที่สุด
ดังนั้น หากเป็นไปได้จึงไม่ควรให้ผู้สูงอายุของเราเดินทางไปไหนมาไหนโดยลำพัง หากไม่สามารถจะไปกับท่านได้อาจต้องใช้วิธีจ้างรถรับจ้างที่พอจะรู้จักคุ้น เคยกัน หรือจ้างจากแหล่งที่น่าเชื่อถือที่จะติดตามตรวจสอบได้ให้พาท่านไปแทน และควรจะมีนามบัตรซึ่งมีที่อยู่ ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของคนดูแลติดไว้ในกระเป๋าของผู้สูงอายุของเราด้วยเพื่อ จะสามารถติดต่อถึงกันได้
3. คิดคำพูดไม่ออก
สัญญาณหนึ่งของคนที่มีอาการสมองเสื่อมคือ การมีปัญหาในการใช้ภาษาโดยความสามารถในการใช้ภาษาลดลงอย่างเห็นได้ชัด อาจเริ่มจากการเรียกชื่อสิ่งของต่าง ๆ ไม่ถูกต้อง เช่น เห็นพัดลม อาจจะเรียกชื่อไม่ถูก หรือเรียกแค่ พัด เฉย ๆ หรือถามว่าอาหารอร่อยไหม เปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไร ก็จะอธิบายถึงรสชาติอาหารไม่ได้
4. มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เช่น จากคนที่เคยเป็นคนสุภาพเรียบร้อยระมัดระวังตัว อาจจะกลายเป็นคนไม่สุภาพไม่ระมัดระวังตัวเหมือนเช่นเคย เช่น ไม่ยอมขับถ่ายในห้องน้ำ แต่จะปัสสาวะและอุจจาระเรี่ยราดไม่เป็นที่เป็นทาง ไม่ยอมสวมเสื้อผ้า หรือจากคนที่ช่างพูดกลายเป็นคนเงียบ ๆ มีอาการซึมเศร้า จากคนอารมณ์ดีกลายเป็นคนอารมณ์ร้ายหรือทำร้ายผู้อื่น หรือทำลายข้าวของ
5. ไม่สามารถทำกิจกรรมที่เคยทำเป็นประจำได้เหมือนเดิม
เช่น เคยขับรถได้ แต่ตอนนี้ขับไม่ได้แล้วเพราะลืมไปแล้วว่าวิธีขับ ๆ อย่างไร เคยเปิดปิดโทรทัศน์ได้ เคยใช้โทรศัพท์ได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการสมองเสื่อมอาจไม่สามารถทำหรือคิดเรื่องที่ซับซ้อนเหมือนเดิม ได้อีกต่อไป เช่น อ่านหนังสือไม่ออกหรือคิดเลขไม่ได้
6. มีอาการคลุ้มคลั่ง
ในกรณีของผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากการใช้ยาเสพติดติดต่อกันเป็น เวลานาน ทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง เสียสติ ประสาทหลอน และมีผลโดยตรงต่อการทำให้เกิดสมองเสื่อม จดจำอะไรไม่ค่อยได้ อีกทั้งมีพฤติกรรมแปรปรวนถึงขั้นทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้
จริง ๆ แล้วอาการสมองเสื่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคนเนื่องจากวัยที่มากขึ้น เพียงแต่จะมากหรือจะน้อยอยู่ที่ปัจจัยแวดล้อมต่างหาก หากคนที่ไม่ได้เป็นโรคประจำตัวใด ๆ เลยอาจมีความเสื่อมถอยของสมองน้อย เหมือนเช่นที่เราเห็นผู้สูงอายุวัย 90 กว่ายังมีความจำที่ดีอยู่ แต่หากท่านใดที่มีโรคประจำตัว เช่นเบาหวาน ความเครียด อาจมีผลให้สมองเสื่อมถอยเร็วขึ้น
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงทั้งกายและใจ ทำให้อารมณ์แจ่มใส ไม่เครียด แต่หากเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีโรคประจำตัวขึ้นมาก็ควรรีบรักษา เพราะอาจส่งผลต่อระบบการทำงานของสมองได้ และที่สำคัญคือหากเราต้องดูแลผู้ที่มีอาการสมองเสื่อมแล้ว เราต้องใจเย็นและมีความเห็นใจท่านเหล่านั้นให้มาก เพราะเขาจะดูแลตัวเองไม่ได้เหมือนเดิม เมื่อเรามีหน้าที่ดูแลท่านก็ดูแลให้ได้ดีที่สุดเหมือนกับตอนที่ท่านยังหนุ่ม สาวท่านก็เลี้ยงดูเราอย่างดีเสมอมา


ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

สธ.ห้ามขายเหล้าอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา


สธ.ห้ามขายเหล้าอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา
กระทรวงสาธารณสุข ห้ามขายแอลกอฮอล์วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา พบโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว ว่า ในวันอาสาฬหบูชา และ วันเข้าพรรษา ซึ่งตรงกับวันที่ 2 และ 3 สิงหาคม 2555 เป็นวันพระใหญ่ และเป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อพ.ศ. 2552 โดยตามประกาศดังกล่าว กำหนดห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ 4 วันคือวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ซึ่งนอกจากจะขัดต่อหลักศีลธรรมในพุทธศาสนาแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาได้ เช่นอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ ปัญหาอาชญากรรม โดยยกเว้นให้ขายในโรงแรมตามพระราชบัญญัติโรงแรมที่มีการจดทะเบียนถูกต้อง เท่านั้น
นายวิทยากล่าวต่อว่า ในการควบคุมร้านค้า ผู้ประกอบการ ที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ปฏิบัติตามกฎหมายในวันพระใหญ่ติดต่อกัน 2 วันนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ประสานผู้ว่าราชการจังหวัด และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกตรวจร้านค้าในพื้นที่อย่างเคร่งครัด หากพบผู้ฝ่าฝืนให้ลงโทษอย่างเคร่งครัด โดยไม่มีข้อยกเว้น มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ด้านนายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สำนักควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ส่งทีมตรวจจากส่วนกลาง 2-3ทีม ลงสุ่มตรวจที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากมีการจัดงานเทศกาลสำคัญเช่นการแห่เทียนเข้าพรรษา เป็นต้น รวมทั้งตรวจในพื้นที่กทม.และปริมณฑลด้วย จะเริ่มออกตรวจตั้งแต่หลังจากเที่ยงคืนของวันที่ 1 สิงหาคม 2555 จนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 3 สิงหาคม 2555 การตรวจที่ผ่านมาส่วนใหญ่ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการอย่างดี อย่างไรก็ตามหากประชาชนพบเห็นการลักลอบจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ทุกพื้นที่ในวันวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ขอความร่วมมือให้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ที่หมายเลข 0 2590 3342 ตลอด 24 ชั่วโมง


ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์


PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks