น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

'ข้าวโพดอ่อน' ช่วยบำรุงสายตา รักษาเลือดออกตามไรฟัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

'ข้าวโพดอ่อน' ช่วยบำรุงสายตา รักษาเลือดออกตามไรฟัน
ข้าวโพดอ่อน จัดเป็นสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนข้าวโพด แต่มีขนาดฝักเล็กกว่า นิยมนำมาปรุงเป็นอาหารมากกว่ารับประทานเล่น เช่น นำไปผัดใส่หมู ผัดใส่กุ้ง ใส่ในแกงเลียง หรือนำไปต้มน้ำซุปก็ให้รสชาติที่หวานหอม ซึ่งนอกจากจะปรุงอาหารได้รสชาติหวานกรอบอร่อยแล้ว คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าเจ้าข้าวโพดอ่อนฝักเล็ก ๆ นี้มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากมาย
ข้าวโพดอ่อนมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Zea mays Linn. และมีชื่อสามัญว่า Baby corn เป็นพืชพวกหญ้ามีลำต้นแข็งแรง มีความสูงตั้งแต่ 30เซนติเมตรไปจนถึง 6เมตร ใบยาวเรียวเกาะติดกับต้น ฝักข้าวโพดจะเกิดตรงรอยข้ออยู่ตรงส่วนกลางของลำต้น มีเปลือกเป็นกลีบบาง ๆ สีเขียวห่อหุ้มหลายชั้น ปลายฝักมีเส้นเล็ก ๆ สีเขียวอ่อน หรือเรียกว่า ไหมข้าวโพด มีคุณค่าทางโภชนาการ คือข้าวโพดอ่อน 100กรัม จะให้พลังงาน 33กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 91.8กรัม โปรตีน 2.3กรัม ไขมัน 0.3กรัม คาร์โบไฮเดรต 5.3กรัม แคลเซียม 4มิลลิกรัม ฟอส ฟอรัส 25มิลลิ กรัม เหล็ก 0.5มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 12ไมโครกรัม ไทอะมิน 0.13มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.4มิลลิกรัม และวิตามินซี 23มิลลิกรัม
ข้าวโพดอ่อนฝักเล็ก ๆ นี้ประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต เบต้าแคโรทีน วิตามินซี แคลเซียม เส้นใยอาหาร ฟอสฟอรัส แคลเซียมที่ใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยให้การหลั่งน้ำนมเป็นไปตามปกติ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ รวมกับธาตุอื่นรักษาสมดุลความเป็นกรด-ด่างในร่างกายถ้ากินข้าวโพดอ่อนเป็น ประจำจะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการบวมน้ำ รักษาโรคไตอักเสบเรื้อรัง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง และจมูกอักเสบเรื้อรัง ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้เจริญอาหาร
นอกจากนี้ยังเป็นผักที่มีเส้นใยสูง จึงช่วยกระตุ้นการบีบตัวของผนังลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้การขับถ่ายของเสียเป็นไปตามปกติทำให้ท้องไม่อืดหรือเกิดอาการท้องผูก แต่อย่างใด และมีคุณสมบัติในการขับปัสสาวะช่วยบรรเทาอาการขัดเบารวมทั้งอาการปวดปัสสาวะ มากอีกด้วย ที่สำคัญข้าวโพดอ่อนยังอุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรค หวัด โรคเลือดออกตามไรฟัน และช่วยบำรุงสายตา ทั้งนี้ยังมีวิตามิน B2ที่ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกอีกด้วย
เมื่อทราบคุณประโยชน์ที่มากมายมหาศาลของข้าวโพดอ่อนฝักจิ๋วแบบนี้แล้ว บอกได้เลยว่าไม่จิ๋วสมชื่อ เพราะนอกจากรสชาติที่หวานกรอบอร่อยถูกปากใคร ๆ หลายคนแล้ว ยังช่วยให้เรามีสุขภาพดีอีกด้วย หากใครยังไม่เคยรับประทานลองหามาชิมดูนะคะ เพื่อเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย และช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ค่ะ.


ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ทำไมเวลามีประจำเดือนแล้วหงุดหงิด


ทำไมเวลามีประจำเดือนแล้วหงุดหงิด

เวลามีประจำเดือน ย่อมทำให้รู้สึกไม่สบาย วิตกกังวลว่าจะเปรอะเปื้อน ทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเหมือนปกติ บางครั้งก็มีอาการปวดท้อง หรือปวดเมื่อยตามเนื้อตัวด้วย จึงทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกรำคาญและหงุดหงิด
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ในช่วงที่มีประจำเดือน ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ซึ่งตัวฮอร์โมนนี้เองที่จะไปส่งผลกับอารมณ์ ทำให้อารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน เช่น ใจน้อย หงุดหงิด ระแวง หรือเศร้าก็ได้ค่ะ
เมื่อรู้ตัวว่าในช่วงมีประจำเดือน อารมณ์จะไม่มั่นคง ในช่วงนี้จึงไม่ควรคิดมาก หรือตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ เพราะจะทำให้ผิดพลาดได้ ถ้าหงุดหงิดมาก ก็ควรพักผ่อนให้มาก ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ฟังเพลงเบา ๆ อ่านหนังสืออ่านเล่น เล่นกับสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ให้สบายใจ จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งกับคนใกล้ชิดลงได้ และเราเองก็ไม่ต้องทำอะไรลงไปเพราะความหงุดหงิด แล้วต้องมานั่งเสียใจในภายหลังด้วยค่ะ


ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามดารา

เป็นเหยื่อ-มั่ว-ล่าเหยื่อ 'เด็กเปื้อนเซ็กส์' ชาชินจน 'หยุดไม่อยู่'

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

"อะไรจะขนาดนั้น??"'ทำไมเป็นไปได้ขนาดนี้??" นี่เป็นเสียงอุทานเชิงตั้งคำถามของใครต่อใครหลาย ๆ คนหลังจากได้รับทราบข่าวสารปัญหาสังคมไทย กรณี เด็กวัยรุ่นวัยเรียนมีเซ็กส์กันโจ่งครึ่มในโรงหนัง" เด็ก วัยรุ่นหนีเรียนเปิดโรงแรมม่านรูดสวิงกิ้ง" ซึ่งจากรายงานข่าว โดยเฉพาะกับกรณีหลัง เห็นว่านี่มิใช่พฤติกรรมที่เพิ่งเกิด มีชาวบ้านบอกว่าเด็กวัยเรียนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมแบบนี้มานานแล้ว และเป็นประจำ!!
ต่อให้ทั้งสองกรณีนี้เพิ่งเกิดครั้งแรก ก็มิใช่เรื่องดีเป็นอีกปัญหาสังคมที่น่าห่วงแต่มักจะชาชินกัน!!
"เด็กไทยกำลังซวนเซใน 3 เรื่องคือ ยาเสพติด การแสดงออกด้วยความรุนแรง และเรื่องเพศ" นี่เป็นการระบุผ่าน "เดลินิวส์" ของ ครูหยุย-วัลลภ ตังคณานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ซึ่งก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ เพราะสังคมไทยวันนี้มีข่าวเด็กวัยรุ่นวัยเรียนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีข่าวเด็กวัยรุ่นวัยเรียนทะเลาะวิวาทตีรันฟันยิงฆ่าคนตาย และมีข่าวเด็กวัยรุ่นวัยเรียน มั่วเพศมั่วเซ็กส์" เป็นประจำ ซึ่งกับเรื่องเพศนั้น ล่าสุดทางครูหยุยก็บอกว่า กำลังเป็นปัญหามาก!!" พร้อม ทั้งได้เรียกร้องให้มีมาตรการดูแลเด็กวัยรุ่นในเรื่องเหล่านี้ เรียกร้องให้มีมาตรการทางบวกเพื่อส่งเสริมเด็กวัยรุ่นในทางสร้างสรรค์ ให้มากยิ่งขึ้น
ก็แล้วใครบ้างล่ะ?? ที่มีหน้าที่ต้องใส่ใจในเรื่องนี้
ทั้งนี้ กรณีเด็กวัยรุ่นวัยเรียนมีเซ็กส์ในโรงหนัง หนีเรียนเปิดโรงแรมม่านรูดสวิงกิ้ง เมื่อเป็นข่าวครึกโครมขึ้นมาแล้ว ไม่ทันไรก็อาจเงียบไป เหมือนหลายๆ กรณี ขณะที่ผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ในบ้าน ในโรงเรียน ในชุมชน ในสังคม ในหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง-ในรัฐบาล ก็ดูจะ “ชาชิน" กับกรณีแบบนี้ ไม่ได้คิด-พูด-ทำอะไรที่เป็นการแก้ไขป้องกันปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากกว่า ที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่??
ชาชิน ข่าวเงียบไป แต่ปัญหายังรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องเพศกับเด็กและเยาวชนไทยนั้น ทาง "สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์" ก็ได้สะท้อนมาอย่างต่อเนื่องว่านับวันจะเป็นปัญหาใหญ่!! และสถานการณ์ก็เป็นไปแบบ พัวพันเป็นวังวน" โดยที่หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ ทำอนาจารเด็ก-ละเมิดทางเพศเด็ก-ข่มขืนเด็ก!!!
"ดู เหมือนสังคมจะยิ่งเลวร้าย ตกต่ำเสื่อมโทรมไปกันใหญ่แล้ว" "คดีเด็กและเยาวชนที่เกี่ยวกับเพศ มีอัตราที่สูงมาตลอดในระยะหลัง" "มีการก่อเหตุทั้งที่ยังเป็นวัยที่ร่างกายตามธรรมชาติยังไม่มีความต้องการ เรื่องเซ็กส์ ซึ่งอาจเกิดจากพฤติกรรมเลียนแบบ" นี่เป็นเสียงอีกส่วนของครูหยุย ที่เคยสะท้อนผ่าน "สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์" ไว้
ขณะที่ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา ก็ได้สะท้อนไว้ว่าการดำเนินชีวิตของเด็กวัยรุ่นไทยในปัจจุบันเป็นไปในลักษณะ 5 ประการคือ 1.การขาดวิ่น ขาดวินัยในชีวิต, 2.การมีเอกลักษณ์สับสน ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร ไม่มีเป้าหมายในชีวิต, 3.การมีอาการเอาแต่ใจ ชอบความสบาย มีค่านิยมต้องการเงินมากๆ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ, 4.การมีอารมณ์ร่วมกับมนุษยสัมพันธ์ในรูปแบบที่ไม่มีทรรศนะชีวิตและทรรศนะ สังคม ไม่รู้อะไรควรอะไรไม่ควรและทำไปแล้วจะมีผลอย่างไรกับคนรอบข้างบ้าง และ 5.การมีอาการทางเพศที่ขาดการยั้งคิดถึงสังคมรอบข้าง
ดร.วัลลภชี้โดยอิงกับด้านจิตวิทยาไว้ว่า การมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมของเด็กวัยรุ่นไทยในปัจจุบันนั้น ปัญหานี้ด้านหนึ่งเกิดจากการคลั่งลัทธิเสรีภาพ การแพร่ระบาดหนักของสื่อลามกในช่องทางต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นและทำให้เกิดความเชื่อในค่านิยมผิดๆ ในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ จนอาจนำไปสู่ “ภาวะการเสพติดเซ็กส์" แสดงออกถึงความหมกมุ่นเรื่องเพศและคิดว่าเป็นความสุขที่แท้จริงในชีวิต แต่มันไม่ใช่!!
ตั้งแต่กว่า 5 ปีก่อนแล้ว ที่นักจิตวิทยารายนี้เผยผ่าน "สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์" ไว้ว่า จากการเปิดให้คำปรึกษากับเด็กและเยาวชนก็พบว่ามีเด็กวัยรุ่นทั้งชายและหญิง ในช่วงอายุระหว่าง 12-16 ปี ขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เกิดอาการเครียดและกดดันเนื่องจากหาทางระบายออกในเรื่องเพศไม่ได้ มีจำนวนไม่น้อยที่มีภาวะ“หยุดไม่ได้" เกิดอารมณ์ทางเพศและต้องหาทางระบายออกตลอดเวลา บางรายไม่สามารถหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้ บางรายต้องสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองวันหนึ่ง 4-5 ครั้ง ถ้าไม่ทำนอนไม่หลับ และที่ยิ่งน่าห่วงคือ บางรายอาจจะหาทางไป ระบายกับเด็กวัยเดียวกันหรือเด็กที่อายุน้อยกว่า
ทั้งนี้ จากที่นักจิตวิทยาชี้ไว้ในประเด็นหลัง ถ้าสมยอมกัน กรณีครึกโครมที่เพิ่งเกิดคือ มีเซ็กซ์ไม่เลือกที่ สวิงกิ้ง ก็น่าจะเป็นตัวอย่าง ขณะที่ในอีกมุมก็อาจเป็นคดี ทำอนาจารเด็ก-ละเมิดทางเพศเด็กข่มขืนเด็กโดยเด็ก" เพิ่มจากคดี ทำอนาจารเด็ก-ละเมิดทางเพศเด็ก-ข่มขืนเด็กโดยผู้ใหญ่" ที่ก็เกิดมากอยู่แล้ว
เด็ก" จาก เหยื่อทางเพศ" ยุคนี้มีที่เป็น นักล่าเหยื่อ"
เด็กล่าเหยื่อเด็ก" โตขึ้นอาจเป็น ผู้ใหญ่ล่าเหยื่อเด็ก"
พัวพันเป็นวังวน" เช่นนี้จะ ชาชินกันไม่ได้แล้ว!!!!"


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เตือนคนอ้วนเสี่ยงโรคสะเก็ดเงิน

เตือนคนอ้วนเสี่ยงโรคสะเก็ดเงิน


แพทย์ผิวหนังเตือน คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคสะเก็ดเงินสูงกว่าคนปกติ ชี้แม้ไม่รุนแรง แต่อาจทำให้ข้อบิดเบี้ยว เสียรูปได้
พญ.ณัฏฐา รัชตะนาวิน กรรมการสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ยืนยันตรงกันว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก อ้วนลงพุง และเป็นโรคเบาหวาน มีโอกาสเป็นโรคสะเก็ดเงินได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้โรคดังกล่าวจะไม่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต แต่อาจส่งผลกระทบต่ออาการทางข้อจนทำให้ข้อบิดเบี้ยว เสียรูป จึงต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคข้อควบคู่กันไป
พล.ต.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าว ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงินประมาณ 3-5 แสนราย หรือ 0.5-1% ของประชากรทั้งหมด ในจำนวนนี้ 20% มีอาการรุนแรง ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่โรคติดต่อแต่โรคสามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ จึงอยากให้สังคมทำความเข้าใจและเลิกรังเกียจผู้ป่วย
“ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินที่มีอาการหนักล้วนแต่มีคุณภาพชีวิตไม่ดี ถูกรังเกียจ ตกงาน เพื่อนไม่ยอมรับ ส่งผลต่อความเครียด และมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้ในที่สุด” พล.ต.นพ.กฤษฎา กล่าว
ทั้งนี้ อาการของโรคสะเก็ดเงินจะเป็นผื่นแดงนูนหนา มีขุยสะเก็ดเป็นแผ่นๆ มักเกิดบริเวณที่มีการเสียดสี อาทิ ศอก เข่า หลัง บนหนังศีรษะ หรือแนวไรผม หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องผื่นอาจลามไปทั้งตัว โดยผู้ที่มีอายุมากขึ้น จะมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมากขึ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นโรค เช่น การเกา การดื่มแอลกอฮอลล์ การสูบบุหรี่ รักษาสุขภาพกายและใจให้สมดุล ระวังน้ำหนักไม่ให้อ้วน
สำหรับการรักษา เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามความรุนแรงของโรค ปัจจุบันมีการนำยาที่มีประสิทธิภาพดีมาใช้มากขึ้น


ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

ชี้ 'อีคิว' เด็กไทยต่ำกว่าเกณฑ์ แย่เรื่องความมุ่งมั่นพยายาม

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้ดำเนินโครงการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)เด็ก และเยาวชน ตั้งแต่ปี 2548-2554 โดยมีการสำรวจความฉลาดทางอารมณ์ ในปี 2550 เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์เด็กไทย และปี 2554 เป็นการสำรวจติดตามสถารการณ์ระดับความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กนักเรียนไทย อายุ 6-11 ปี ระดับประเทศเป็นครั้งที่ 2
การสำรวจครั้งนี้ ใช้ขนาดตัวอย่างกลุ่มเด็กอายุ 6-11 ปีจำนวน 5,325 คนซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันที่ใช้สำรวจ iQ ปี 2554 จากตัวแทนกรุงเทพมหานคร และ 4 ภาค รวม 10 จังหวัด ได้แก่กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ระยอง สมุทรสาคร อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ นครราชสีมา ร้อยเอ็ด กระบี่ ปัตตานี ใช้แบบทดสอบวัคความฉลาดทางอารมณ์ฉบับกรมสุขภาพจิต ประกอบด้วย ฉบับเด็ดอายุ 6-11 ปีที่ครูเป็นผู้ประเมินวิเคราะห์ผลเป็นค่าเฉลี่ยและร้อยละ โดยแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่1.การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ในการสำรวจปี 2554 และ 2.การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลความฉลาดทางอารมณ์ในการสำรวจปี 2545 และปี 2550
"เมื่อเปรียบเทียบระยะ 3 ปีที่ทำการสำรวจผลรวมของคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) กลุ่มอายุ 6-11ปี โดยใช้แบบทดสอบที่มีโครงสร้างเดียวกันแต่ผู้ประเมินต่างกัน คือ ปี 2545 และปี 2550 พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นผู้ประเมิน ส่วนปี 2554 ครูเป็นผู้ประเมิน แต่ได้ปรับให้คะแนนอยู่ในมาตรการเดียวกัน พบว่าคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ปี 2554 มีค่าต่ำสุดอยู่ที่ 169.72 จาก 179.58 ในปี 2550 และ186.42 ในปี 2545" นพ.ณรงค์กล่าว
ทั้งนี้ ผลสำรวจความฉลาดทางอารมณ์เด็กนักเรียนไทยอายุ 6-11 ปี ปี 2554 มีคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เฉลี่ยระดับประเทศอยู่ระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ คือ มีค่าคะแนนอยู่ที่ 45.12 จากค่าคะแนนปกติ 50-100 ซึ่งมีจุดอ่อนทั้ง 3 องค์ประกอบใหญ่คือดี เก่ง สุข และเมื่อพิจารณาองค์ประกอบย่อยในแต่ละด้าน จะพบว่า การปรับตัวต่อปัญหามีค่าคะแนนอยู่ที่ 46.65 การควบคุมอารมณ์ 46.50 การยอมรับถูกผิด 45.65 ความพอใจในตนเอง 45.65 ความใส่ใจและเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น 45.42 การรู้จักปรับใจ 45.23 และที่เป็นจุดอ่อนมากได้แก่ ความมุ่งมั่นพยายาม ซึ่งมีค่าคะแนนอยู่ที่ 42.98 รองลงมา คือความกล้าแสดงออก 43.48 และความรื่นเริงเบิกบาน


ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

สาธารณสุขเตือน 3 จว.อีสานใต้ พบผู้ป่วยไข้เลือดออกมาก

สาธารณสุขเตือน 3 จว.อีสานใต้ พบผู้ป่วยไข้เลือดออกมาก

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด อุบลราชธานีเตือนประชาชนระวังโรคไข้เลือดออก เพราะพบการระบาดสูงสุดที่จังหวัดศรีสะเกษ รองลงมาเป็นมุกดาหาร นครพนม และอุบลราชธานี แนะทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย รวมทั้งทำตัวให้อบอุ่นรับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ส่วนเกษตรกรปลูกข้าวระวังโรคเลปโตสไปโรซีสระหว่างดำนา 
นายแพทย์สุรพร ลอยหา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทยว่า จากสถิติข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมษายนที่ผ่านมา พบมีการระบาดของโรคเร็วผิดปกติของจังหวัดที่อยู่ในเขตภาคใต้ชายฝั่งทะเล อันดามัน และจังหวัดในเขตชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย ประกอบกับประเทศกัมพูชาพบมีการระบาดของโรคไข้เลือดออกเร็วผิดปกติเช่นกัน (Promed mail)  
สำหรับจากสถานการณ์ระดับประเทศตั้งแต่เดือนมกราคม - 9 มิถุนายน พบว่ามีผู้ป่วยแล้ว 14,045 ราย อัตราป่วย 21.99 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 9 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.06 โดยพบผู้ป่วยสูงสุดเดือนพฤษภาคม 4,270 ราย รองลงมาคือเดือนเมษายน 3,025 ราย และมีนาคม 2,299 ราย  ซึ่งจำนวนผู้ป่วยลดลงจากปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 25.53 (สถิติในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ป่วย 18,861 ราย เสียชีวิต 16 ราย) เมื่อจำแนกรายภาค พบว่าภาคใต้มีผู้ป่วย 3,516 ราย อัตราป่วยสูงสุด 37.26 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาภาคกลางผู้ป่วย 6,221 ราย อัตราป่วย 29.51 ต่อประชากรแสนคน ภาคเหนือผู้ป่วย 1,662 ราย อัตราป่วย 14.10 ต่อประชากรแสนคน และภาคอีสานผู้ป่วย 2,646 ราย อัตราป่วย 12.27 ต่อประชากรแสนคน  
ส่วนพื้นที่ที่พบการระบาดสูงสุดคือ จ.ศรีสะเกษ อัตราป่วยสูงสุด 20.18 ต่อประชากรแสนคน รองลงมา จ.มุกดาหาร อัตราป่วย 9.98 ต่อประชากรแสนคน และ จ.นครพนม อัตราป่วย 6.95 ต่อประชากรแสนคน โดยจังหวัดนครพนม และมุกดาหารมีอัตราป่วยสูงกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงในสัปดาห์เดียวกันนี้ จังหวัดศรีสะเกษพบผู้ป่วยสูงสุดถึง 70 ราย  รองลงมาคือ อุบลราชธานี 14 ราย และมุกดาหาร 13 ราย กลุ่มอายุผู้ป่วยสูงสุดคือ อายุ 10-14 ปี อัตราป่วย 34.33 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาอายุ 5-9 ปี อัตราป่วย 26.51 ต่อประชากรแสนคน และอายุ 15-24 ปี อัตราป่วย 15.86 ต่อประชากรแสนคน
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยเป็นนักเรียนสูงถึง 391 ราย รองลงมาเป็นเกษตรกร 84 ราย นายแพทย์สุรพร ลอยหา กล่าวถึงวิธีดูแลป้องกัน ต้องสวมเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อป้องกันยุงกัดและเป็นการรักษาร่างกายให้อบอุ่นให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน โรค โดยเฉพาะเด็กกับผู้สูงอายุควรดูแลเป็นพิเศษเนื่องจากสภาพอากาศมีความชื้นสูง หนาวเย็น ทำให้ร่างกายมีระดับภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าคนวัยอื่นๆ
       

ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์

'ไมโคพลาสมา'...โรคระบาดป้องกันได้

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

http://www.youtube.com/watch?v=AaHnAioC3ck&feature=share

กลายเป็นกระแสข่าวครึกโครม เมื่อพลทหารหลายสิบนายล้มป่วยลงด้วยโรคติดเชื้อประหลาด มีไข้สูง หายใจหอบเหนื่อยและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาจนถึงขั้นต้องปิดโรงพยาบาลเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย ของเชื้อโรค "ไมโคพลาสมา (Mycoplasma)" ที่เป็นตัวการทำให้เกิดอาการดังกล่าว
ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ถือโอกาสนี้เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคไมโครพลาสมา เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคดังกล่าว เพื่อเป็นแนวทางป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคระบาดนี้เมื่อเร็วๆนี้ ว่า โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียขนาดเล็ก ชื่อ"Mycoplasma pneumonia" ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้สูง ไอ หายใจหอบเหนื่อยจากการอักเสบของหลอดลมและปอด กลุ่มอายุที่ติดเชื้อได้บ่อยคือกลุ่มวัยเด็ก และเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคปอดอักเสบที่ติดในชุมชน ซึ่งถ้าปอดอักเสบจากเชื้อชนิดนี้ ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
สำหรับการระบาดนั้น เชื้อ Mycoplasma pneumonia พบได้ทุกช่วงอายุ โดยพบบ่อยในช่วงอายุน้อยกว่า 40ปี และพบบ่อยมากในเด็กเล็ก และวัยรุ่นอายุน้อยกว่า 20ปีมีโอกาสติดเชื้อได้ใกล้เคียงกันทั้งเพศชายและหญิง พบการติดเชื้อได้ตลอดปีโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน เชื้อนี้ติดต่อทางการหายใจหรือไอ จาม หรือจากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจที่มีเชื้อ เช่น น้ำมูกหรือเสมหะ การระบาดส่วนใหญ่จะพบในชุมชนปิด เช่น ค่ายทหาร โรงเรียน เรือนจำ เมื่อเชื้อไมโคพลาสมาเข้าสู่ร่างกายจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2-3สัปดาห์ (แตกต่างจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือปอดอักเสบจากไวรัสที่ใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์) อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ที่ได้รับเชื้อนี้ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ มีเพียงร้อยละ 5-10เท่านั้นที่จะเกิดอาการปอดอักเสบ
ส่วนอาการทั่วไปที่พบในผู้ป่วยนั้น 1.ไข้สูงมากกว่า 38องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่น 2.ไอแห้งๆ อาจมีเสมหะขาว อาการค่อยๆ เป็นมากขึ้น อาจไอเรื้อรังจนทำให้เจ็บกล้ามเนื้อหน้าอก 3.ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย 4.เจ็บคอ คันคอ อาการเจ็บคอจะไม่มาก คอแดงเล็กน้อยไม่มีหนอง 5.เจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าหรือออก (พบได้น้อย) 6.อาจพบผื่นแดงตามร่างกายลักษณะคล้ายไข้ออกผื่น(ส่าไข้) 7.ถ้าอาการรุนแรงขึ้นจะ ทำให้หายใจเหนื่อยหายใจเร็ว แต่ยังคงดำเนินชีวิตประจำวันได้ปกติ
การรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไมโคพลาสมา สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะกลุ่ม macrolides หรือ doxycycline ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลถ้ามีอาการหายใจหอบเหนื่อยมากหรือ มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อย่างไรก็ตามผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่มาก หากไม่ได้รับการรักษาอาการไข้จะเป็นอยู่ประมาณ 1สัปดาห์ อาการไอประมาณ 2-4สัปดาห์ บางรายอาการอาจเป็นนานถึง 6สัปดาห์ หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการจะหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ยกเว้นรายที่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ส่วนอาการบ่งชี้ที่ควรไปพบแพทย์นั้นได้แก่ 1.ไข้สูง 2.อาการไอแห้งๆ บ่อยครั้งและเป็นระยะเวลานาน หรือไอเป็นเลือด 3.อาการหายใจหอบเหนื่อยหายใจเร็ว 4.อาการเจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าหรือออก 5.อาการแน่นหน้าอกด้านซ้าย หรือรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการแขนหรือขาอ่อนแรง หรือชักเกร็ง ซึมลง อาการซีด ปาก-ลิ้นสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม (สีน้ำปลาหรือสีโค้ก) หรือมีจุดเลือดออกตามร่างกาย ซึ่งอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อไมโคพลาสมา 6.ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน อาจเกิดการติดเชื้อรุนแรงได้ง่าย หากคุณมีอาการดังที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาแต่เนิ่นๆเท่านี้ก็จะเป็นการยับยั้งภัย ระบาดของโรค "ไมโคพลาสมา"ได้แล้ว.


ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

หูไม่ค่อยได้ยิน เสียงแนะวิธีแก้ไข

หูเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งของ ร่างกายที่จะรับคลื่นเสียง เป็นสื่อสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เราได้มีความเข้าใจต่อกัน ว่าต้องการอะไร มีอะไรที่อยากพูดอยากบอกจะได้สื่อสารกันรู้เรื่อง ทำให้โลกนี้น่าอยู่ และมีความรู้สึกดี ๆ ขึ้นอีกมาก ผู้ที่มีความบกพร่องในการได้ยิน จะเป็นปัญหาของสุขภาพมองโลกนี้ไปอีกแบบหนึ่ง หูจึงเป็นอวัยวะสำคัญที่จะต้องดูแลถนอมมิให้เกิดภยันตรายให้ได้

หูไม่ค่อยได้ยิน เสียงแนะวิธีแก้ไข

เวลาเราได้ยินเสียง เสียงเมื่อผ่านเข้าช่องหู ไปกระทบแก้วหูเป็นผนังบาง ๆ ขวางรับอยู่จะสั่นส่งคลื่นไปยังหูด้านใน ซึ่งจะมีเซลล์เป็นขน ๆ รองรับอยู่มากจะเปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งต่อผ่านกระดูกสำคัญ ชิ้นเล็ก ๆ ไปยังสมอง สมองจะแปลงสัญญาณที่ได้รับออกมาเป็นเสียงพูดสื่อให้คู่สนทนาได้รับรู้ได้ เป็นมหัศจรรย์ของชีวิตอย่างหนึ่งที่คนมักมองข้ามไป

หู ก็เหมือนอวัยวะอื่นทั่วไป อายุเพิ่มมากขึ้นย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา อวัยวะอื่นมักพูดว่าหย่อนยาน แต่หูกลับพูดว่าตึงขึ้น แต่ ความหมายเหมือนกันคือจะเสื่อมไม่ค่อยได้ยิน มีผู้วิจัยว่า ผู้ที่อายุเกิน 60 ปี 100 คน มักพบหูเสื่อมฟังไม่ค่อยได้ยินราว 25 คน จะทำให้เป็นปัญหาต่อชีวิตประจำวัน จึงจำเป็นต้องคอยดูแล เมื่อเป็นแล้วก็ต้องรีบแก้ไขแต่เนิ่น ๆ ด้วย

การสูญเสียการได้ยิน โดยทั่วไปโรคพื้น ๆ มักจะมีอาการมาขวางทางเดินในช่องหู ที่สำคัญคือ ขี้หู เป็นปฏิกิริยาของเซลล์ในช่องหูที่ทำให้เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ เวลาเราเปลี่ยนอิริยาบถตะแคงศีรษะไปมาจะหลุดออกมาเอง บางท่านก็ชอบเอาสำลีพันปลายไม้แยงหูเพื่อกวาดออกหรือไปให้ช่างตัดผมแคะออก ยังเห็นเป็นประจำอยู่มาก ผลเสียคือ แคะขูดมากไปจะเกิดแผลและติดเชื้อทำให้ช่องหูอักเสบจากเชื้อโรคและเชื้อราได้ อีกอย่างหนึ่งคือ ประสาทหูเสื่อม ต้องแก้ไขกันต่อไป

ผมมาคุยเรื่องหูในวันนี้ เนื่องจากได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ พญ.ชนิดา กาญจนลาภ อดีตแพทย์ทางหู รพ.รามาธิบดี และคณะ พญ.สุมนา ช่อไสว, กิตติพร ตัณฑะพงศ์, สมทรัพย์ อธิคมรักสฤษฎ์, บุญทิวา ตนาภิชาติ และ วนิดา วาณิชอังกูร ได้ไปออกหน่วยแพทย์ของมูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล ที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เมื่อต้นเดือนนี้

หน่วยตรวจหูคณะนี้ ได้ตรวจคนไข้ 121 ราย ตรวจการได้ยิน 6 ราย พบมีขี้หูเหนียวอุดแน่นทำให้บกพร่องการได้ยิน 28 ราย แก้วหูทะลุส่งต่อโรงพยาบาลพื้นที่ 9 ราย และเป็นโรคทางจมูกลุกลามให้หูอักเสบอีก 14 ราย

วิธีการเอาขี้หูเหนียวออก นอนตะแคงหยอดยาลงในรูหู สักพักหนึ่งจะใช้น้ำอุ่น 37 องศาพอดีกับอุณหภูมิของร่างกายฉีดล้างเข้าในหู น้ำที่ฉีดถ้าเย็นไป ร้อนไป คนไข้จะเวียนหัวทันที จะต้องคุมให้อยู่อุณหภูมิเท่ากับร่างกายให้ได้ สักครู่ขี้หูจะค่อยคลายตัวเป็นก้อนเล็ก ๆ ออกมา คนไข้จะรู้สึกหายหูตึงอย่างมหัศจรรย์ทันที ฟังเสียงคนพูดได้ชัดเจน ดีใจมาก ชีวิตกลับคืนเป็นปกติ

ผู้สูงอายุ สูบบุหรี่ประจำ ความดันสูง ไขมันสูง โรคเบาหวาน ดื่มกาแฟประจำ ล้วนทำให้เส้นเลือดไปเลี้ยงประสาทหูตีบแข็ง เลือดเลี้ยงไม่พอ ทำให้ประสาทเสื่อม เป็นผลทำให้หูไม่ค่อยได้ยินไปด้วย จึงต้องแก้สาเหตุจากสิ่งเหล่านี้ด้วย

เสียงดัง ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พบบ่อย มีคนไข้หลายรายเกิดเสียงดังใกล้หูจากประทัดหรือของระเบิด หูดับไม่ได้ยินทันที ต้องค่อยรักษากันไปจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับดีขึ้นมาเอง

การอักเสบใกล้บริเวณหู บริเวณปากช่องหู คออักเสบ หวัดลงคอ จมูกอักเสบ อวัยวะเหล่านี้มีท่อต่อเชื่อมกันมายังช่องหู เมื่อมีการอักเสบขึ้นมาจะลุกลามมายังหูทำให้อักเสบไปด้วยได้ การอักเสบติดเชื้อไปจนถึงมีหนอง ล้วนทำให้ประสาทหูพลอยกระทบไปด้วย พอการอักเสบหาย เรื่องหูไม่ค่อยได้ยินก็จะค่อยกลับคืนสภาพดีดังเดิม

โรคที่กล่าวมานี้เป็นโรคพื้นฐาน พบได้บ่อยในชุมชน เมื่อแก้สาเหตุอาการก็จะหายไป ส่วนโรคที่เกี่ยวกับประสาทหูก็มีความสำคัญเช่นกัน เมื่อมีโอกาสคงจะได้นำมาคุยกันต่อไป

โรคบกพร่องการได้ยิน สาเหตุพื้นฐานในชนบทมักจะเป็นเรื่องขี้หูเหนียวอุดตันค้างอยู่ เมื่อเอาออกเสียก็หาย ส่วนใหญ่จะไม่รู้ไม่มีใครตรวจดูในช่องหูให้ การป้องกันง่ายสุดไม่ควรเอาอะไรไปแคะคุ้ยในรูหูจะทำให้เกิดการอักเสบและ ลุกลามเข้าในหูส่วนในได้.

  





ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์โดยนายแพทย์สุวิทย์ เกียรติเสวี suvit.kiatisevi@gmail.com

กินพืช กินผัก

วิชาสุขศึกษาได้สอนเราไว้ว่า ให้กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่มีข้อสงสัยมากมายว่ากินอาหารครบทุกหมู่แล้วสุขภาพดีจริงหรือความคิด ฝังหัวที่ถูกสอนมาว่าผักเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หรือพูดง่ายๆ ว่า เมนูผัก เป็นเมนูสุขภาพ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า

กินพืช กินผัก

ผักส่วนใหญ่ที่เรากินก็คือใบของพืช หรือบางครั้งก็มีต้น กิ่ง หัว รวมๆ กันเรียกว่าผัก ผักเป็นแหล่งของธาตุอาหารพวกวิตามิน แร่ธาตุบางอย่าง แต่น่าเสียดายที่ส่วนมากถูกทำลายด้วยความร้อนขณะหุงต้ม ทำให้เราได้แต่กากเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งกากนั้นเป็นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ หรือ เซลลูโลสนั่นเอง

เซลลูโลสในผัก เป็นกากใยที่เราไม่สามารถย่อยได้ เราจำเป็นต้องเคี้ยวด้วยฟันกรามซึ่งมีลักษณะเป็นฟันบด เพื่อย่อยให้ผักมีขนาดเล็กพอที่เราจะกลืนลงไปได้ พวกวัว ควาย ช้าง มีฟันบดนี้มากกว่าเรา ทำให้กินหญ้าได้ แต่คนก็ยังด้อยความสามารถที่จะกินหญ้า เหมือนวัวควาย เซลลูโลสที่อยู่ในพืช จะถูกกลืนลงไปและเคลื่อนผ่านไปโดยลำไส้เราไม่สามารถย่อยได้ จึงไม่แปลกที่จะเห็นใบผักบุ้งปนออกมากับอุจจาระหลังจากที่กินผักบุ้งไฟแดง เข้าไป

หากผักมีโปรตีน หรือ คาร์โบไฮเดรต ก็จะถูกย่อยดูดซึมไป เหลือแต่กากเซลลูโลสออกมา แต่เซลลูโลสก็ไม่ได้เป็นไฟเบอร์ที่อุ้มน้ำ จึงไม่ได้ส่งผลต่อมวลของอุจจาระ ดังนั้น หากหวังว่ากินผักแล้วจะถ่ายคล่อง ก็ต้องกินผักปริมาณมากๆ เพื่อให้เหลือกากมากพอที่จะขับถ่ายออกมา อย่าหวังว่าผักบุ้งไฟแดงจานหนึ่งจะสร้างความมหัศจรรย์ กำจัดปัญหาการขับถ่ายให้เราได้

ในอดีต เรากินผักกันตามอำเภอใจ แปลว่า ฤดูไหน มีผักอะไรงอกออกมา ก็เด็ดกินกันตามใจ ไม่ว่ากระถิน ผักหวาน สะเดา ฯลฯ ซึ่งมีความหลากหลายมากมายไม่เฉพาะชนิดเท่านั้น แต่ตามฤดูกาลด้วย แต่ด้วยความสามารถในการเคี้ยวที่ไม่ดีนัก เรากินทั้งต้นไม่ได้ ก็เลยกินเฉพาะยอดอ่อนๆ ที่เคี้ยวได้กรุบกรอบเท่านั้น

เมื่อเราเข้าสู่ทุนนิยม ก็เลยมีคนคิดแทนเราว่า ควรกินผักอะไร แล้วเอามาวางให้ในซูเปอร์มาร์เก็ต และสร้างค่านิยมที่ดูเหมือนว่าจะมีผักหลากหลาย แต่ที่จริงแล้ว มีไม่กี่ชนิด ขายวนไปตลอดทั้งปี และเนื่องจากการเคี้ยวของเราไม่ดี ผักทั้งหลายที่วางอยู่ก็เลยมักเป็นผักอวบน้ำ ที่ทำให้คนชื่นชอบ แต่ทราบหรือไม่ว่ากว่าจะได้มาต้องเสียอะไรไปบ้าง

การปลูกผักอวบน้ำต้องใช้น้ำแน่นอน ในการที่ทำให้ผักเติบโต อีกทั้งไม่เพียงแต่คนที่ชอบของอวบๆ แมลงก็ชอบ อีกทั้งซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลายที่คัดสรรสิ่งดีๆราคาถูกทุกวันให้คุณ ก็ไม่ยอมรับผักแหว่งๆ ที่ถูกแมลงกิน เกษตรกร ก็เลยจำเป็นที่จะต้องใช้ยาฆ่าแมลงให้แมลงที่นิยมของอวบ เช่นเรา ตายไป

ผักอวบน้ำหลายอย่างเป็นผักที่เป็นกาบ เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ก็เลยมีความจำเป็นต้องฉีดเป็นระยะ หรือทุกกาบ เพื่อไม่ให้มีแมลงมารบกวน อีกอย่างก็คือความนิยมกินผักเมืองหนาว อันนี้ก็แปลก อยู่เมืองไทย แต่อยากกินผักเมืองหนาว กินแล้วจะหนาวไหม แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ปลูกยาก โรคของผักเยอะ ราคาแพง ความนิยมแบบไม่ค่อยคิด ทำให้ผักแปลกๆ ต่างชาติพวกนี้เบียดผักไทยริมรั้วจนหายไปหมดสิ้น

เราจึงไม่เคยกินผักเพราะความหลากหลาย หรือ กินผักตามฤดูกาล แต่กินผักตามที่เขามาจัดวางและขายให้เรา หากกินไปนานๆ แมลงวันอาจจะไม่มาตอมตัวเราก็เป็นได้ เพราะเราสะสมยาฆ่าแมลงไว้มากมาย

มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กินพืช เป็นอาหารหลัก และเราต้องการความหลากหลายของพืช มากกว่าพืชที่นำเสนอในซูเปอร์เท่านั้น หากเราปลูกพืชริมรั้วไว้บ้าง ก็จะลดค่าใช้จ่าย ลดสารพิษ และชีวิตเป็นสุข ที่ได้กินสิ่งที่เราปลูกเอง







ที่มา:หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ by ipensook

เคล็ดลับง่าย ๆ ดูบอลยูโรอย่างไรไม่โทรม

เทศกาลบอลยูโรกำลังใกล้ปิดฉากใน อีกไม่กี่วัน คอบอลหลายคนอาจมีผลข้างเคียงจากการดูบอลมาจากสาเหตุการอดนอน ยังพอมีเวลาสำหรับการปฏิบัติตัวเพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และเป็นข้อแนะนำสำหรับการดูบอลหรือการทำกิจกรรมที่ต้องทำให้พักผ่อนไม่เพียง พอ

เทศกาลบอลยูโร

อ.สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มี คำแนะนำการดูแลสุขภาพในช่วงการรับชมฟุตบอลยูโร 2012 ที่จะมีการแข่งขันระหว่างวันที่ 8 มิ.ย.-1 ก.ค. 55 ว่า ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลจะมีการถ่ายทอดในช่วงเวลาดึก พฤติกรรมการดูฟุตบอลจะมีผลต่อสุขภาพในหลายด้าน อาทิ ทำให้นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการซึมเศร้าในช่วงเช้าวันใหม่ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงเพราะอดนอน ร่างกายเผาผลาญอาหารได้ลดลง มีการสะสมไขมันในปริมาณที่มากเกินไป เกิดความเครียดเมื่อรู้สึกตื่นเต้นลุ้นเชียร์ทีมที่ตนเองชื่นชอบ ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว ที่สำคัญคือการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา กินจุบกินจิบ ทำให้ได้รับอาหารที่ให้พลังงานสูงจนเกิดความอ้วนได้ ตลอดจนภูมิคุ้มกันร่างกายลดลงตามไปด้วย

"อาหารและเครื่องดื่มที่ควรต้องหลีกเลี่ยงคือ กินขนมกรุบกรอบ ทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมและไขมันสูง ส่งผลให้เกิดเป็นโรคความดันโลหิตสูง ไตทำงานหนัก หากเป็นขนมหวานร่างกายก็จะยิ่งได้รับพลังงานสูงและเปลี่ยนเป็นไขมันได้ภายใน ครึ่งชั่วโมง ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ 1 แก้ว ให้พลังงานเท่ากับข้าว 2 ทัพพี หรือประมาณ 150-180 กิโลแคลอรี น้ำอัดลมยิ่งให้น้ำตาลสูง น้ำอัดลม 1 ขวดจะมีปริมาณน้ำตาลเท่ากับ 10-12 ช้อนชา ในขณะที่ร่างกายควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 6-8 ช้อนชาต่อวัน" นายสง่ากล่าว

นายสง่า กล่าวว่า หากจำเป็นต้องนอนดึกและตื่นเช้า ต้องทำให้ร่างกายสดชื่นเร็วที่สุด คือ 1. กินอาหารเช้าที่มีคุณภาพคือ อาหารครบ 5 หมู่ มีผัก ไขมัน แป้ง โปรตีน และรับประทานอย่างเพียงพอ 2. กินน้ำหรือผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว ช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว กระตุ้นปลายประสาทและทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น ไม่ควรกินกาแฟ เพราะช่วยทำให้สดชื่นแค่ชั่วคราวเท่านั้น 3. หลีกเลี่ยงอาหารระหว่างมื้อที่มีรสหวาน 4. ระหว่างวันพยายามขยับร่างกายลุกขึ้นยืดเหยียด เพื่อให้เลือดหมุนเวียนไปเลี้ยงปลายประสาทได้ดีขึ้น

หากเป็นไปได้ควรงีบหลังมื้อกลางวันเพียง 10-15 นาทีจะทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น 5. หากต้องนอนดึกควรกินอาหารมื้อเย็นมากกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เกิดความหิวในช่วงกลางคืน และเปลี่ยนจากขนมกรุบกรอบเป็นผลไม้ที่มีรสหวานน้อยแทน เช่น ส้มโอ 3-5 กลีบ ฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร แอปเปิ้ล อย่างละไม่เกิน 2 ลูก หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น ทุเรียน ขนุน ลิ้นจี่ เป็นต้น และดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ จะช่วยลดความเครียดได้

"การดูการแข่งขันฟุตบอลยูโรไม่ให้เสียสุขภาพควรต้องจัดระเบียบชีวิตของ ตัวเองใหม่ โดยเลือกรับชมคู่ที่ชื่นชอบ ไม่ใช่รับชมทุกคู่ เพราะหากดูทุกคู่ร่างกายก็จะทรุดโทรมได้ง่าย วันไหนที่ต้องดูบอลเวลาดึก ก็ให้เข้านอนเร็วขึ้น เช่น ฟุตบอลมีตอนตี 1 ก็ต้องรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อตื่นมาดูช่วงดึกได้ ที่สำคัญต้องดูแบบกีฬาไม่มีการพนัน เพราะยิ่งดูเพื่อการพนันยิ่งทำให้ร่างกายเกิดความเครียดสูง ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงตามได้ ช่วงเวลาพักการแข่งขันก็ควรขยับร่างกายบ้าง โดยอย่านั่งดูติดกันนานเกิน 2 ชั่วโมง อาจจะยืดเหยียดกล้ามเนื้อ สลัดข้อมือข้อเท้าบ้างโดยอาจใช้พื้นที่ที่รับชมการแข่งขันเป็นที่ผ่อนคลาย" นายสง่า กล่าว


ที่มา :หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

คนชรากับความว้าเหว่ และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555


คนชรากับความว้าเหว่ และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจสำหรับคนชราในยุคนี้ หลายคนต้องอยู่กับบ้านตามลำพัง ระหว่างที่รอลูกหลานกลับจากทำงาน หรือบางคนก็ต้องรอนานกว่านั้น เพราะบ้านลูกกับบ้านตนเองอยู่ห่างไกลกัน กว่าที่ลูกหลานจะมาเยี่ยมก็อาจเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดเทศกาล
สำหรับคนชราที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป การอยู่ตามลำพังตัวคนเดียวนั้นเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และท่านอาจต้องประสบกับความยากลำบากมากมายในการใช้ชีวิตประจำวัน ที่สำคัญ การอยู่ตามลำพังอาจทำให้ผู้สูงอายุเกิดความเหงา ว้าเหว่ขึ้นได้ ซึ่งมีการวิจัยพบว่า ความรู้สึกโดดเดี่ยวนั้นสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเผยว่า ความโดดเดี่ยวนั้นเป็นตัวการหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุต้องทนทุกข์ทรมาน และในการศึกษาครั้งนี้ ยังพบว่า มันช่วยเพิ่มความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตให้กับผู้สูงอายุในอีกหลาย ๆ ด้าน เช่น ทำให้สุขภาพไม่ดี การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายแย่ลง
จากการศึกษาในผู้สูงอายุ 1,604 คนในประเด็นเกี่ยวกับการอยู่ตามลำพังว่ามีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตหรือไม่ พบว่า ผู้สูงอายุ 43.2 เปอร์เซ็นต์จะรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว หากเกิดอุบัติเหตุในขณะที่อยู่ตามลำพัง ไม่มีคนช่วยเหลือ
นอกจากนั้นยังพบว่า การอยู่ตามลำพังนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตให้มีมากขึ้นอีกด้วย โดยผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังมีโอกาสที่จะหกล้ม 24.8 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผู้สูงอายุทีมีคนอยู่ด้วย หรือมีคนดูแลนั้นมีโอกาสหกล้ม 12.5 เปอร์เซ็นต์ ถือได้ว่ามากกว่าถึงหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียว
นอกจากนั้น 40.8 เปอร์เซ็นต์ของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวยังรู้สึกว่าตนเองขึ้นบันไดลำบากด้วย
นอกจากนั้นยังมีรายงานจากสหรัฐอเมริกาอีกชิ้นหนึ่งที่เผยว่า พบความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ชีวิตตามลำพังกับความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ โดยนักวิจัยได้สำรวจจากข้อมูลพื้นฐานของประชากรวัยกลางคน 44,573 ชุด และในจำนวนนี้มี 8,594 คนที่อาศัยอยู่ตามลำพัง และพบว่า การอยู่คนเดียวเพิ่มโอกาสในการเสียชีวิตจากโรคหัวใจให้มากขึ้น
จะเห็นได้ว่า ความรู้สึกว้าเหว่นั้นเป็นความรู้สึกในแง่ลบที่อาจทำลายได้ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ซึ่งการแก้ไขอาจทำได้โดยการสร้างเครือข่ายสังคม จัดตั้งอาสาสมัครกลุ่มต่าง ๆ เข้ามาให้การช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุต้องเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตมากจนเกินไป


ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ


'จุ๋ย' เผยเคล็ดลับสุขภาพดี ดื่มนม-หมั่นออกกำลังกาย


ดาราสาวผิวสีน้ำผึ้ง จุ๋ย-วรัทยา นิลคูหา หนึ่งในสาวรักสุขภาพ เผยตอนเด็กไม่ชอบดื่มนม จุ๋ยบอกว่า สมัยเด็กๆ เป็นคนไม่ชอบดื่มนมจะวิ่งหนีตลอด รู้สึกต่อต้านว่าทำไมต้องกินนม นึกแล้วก็เสียดาย เพราะถ้าดื่มนมตั้งแต่เด็กอย่างต่อเนื่องตัวเองคงสูงกว่านี้ อีกอย่างนมมีประโยชน์ทั้งเสริมสร้างแคลเซียมช่วยให้กระดูกแข็งแรง บำรุงผิวให้แลดูเปล่งปลั่ง แลดูสวยจากภายในสู่ภายนอก
"ที่สำคัญยังช่วยทำให้ความจำดีอีกด้วย โดยเฉพาะการทำงานในวงการบันเทิงที่นอกจากต้องดูแลรูปร่างหน้าตาแล้ว การมีความจำที่ดีถือว่าสำคัญมาก โดยเฉพาะความจำระยะสั้นที่ต้องใช้มาก จำปุ๊บแล้วต้องทิ้งไปจำอย่างอื่นต่อ เลยต้องหมั่นดูแลตัวเองทั้งออกกำลังกาย ว่ายน้ำ วิ่ง ตีแบด รวมถึงนั่งสมาธิด้วย" นางเอกสาวเผย


ภาพประกอบ : อินเทอร์เน็ต
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

ดูแลสุขภาพอย่างคลินตัน


อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน หันหลังให้กับชีวิตมนุษย์บริโภคไปอย่างถาวรหลังจากตระหนักได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เขาบริโภคเข้าไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพของเขา

ดูแลสุขภาพอย่างคลินตัน

เรื่องราวชีวิตมังสวิรัติของบิล เป็นที่รู้กันมาหลายปีแล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครรู้เบื้องลึกของความพยายาม และการเปลี่ยนชีวิตที่ยากลำบากในช่วงเวลาที่ผ่านมาของเขาเท่าไรนัก

อาหารที่อดีตประธานาธิบดีชื่นชอบและโปรดปรานมากที่สุด คือแฮมเบอร์เกอร์บิ๊กแมคชิ้นโต ที่เขามักจะรับประทานเสมอในระหว่างวันทำงานอันแสนเครียด ยังไม่นับรวมจังค์ฟู้ดส์ต่างๆ รวมทั้งเนื้อสัตว์ชิ้นโตไข่แดง ผลิตภัณฑ์จากนมเนย และน้ำมันทั้งหลายทั้งปวง

หลังจากผ่านการตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจกว่า 4 เส้น ในปี 2004 เขาเริ่มตระหนักดีกว่าชีวิตที่เหลืออยู่หลังจากนี้จะมีแต่งดิงลงเหวถ้าเขาไม่ปฏิวัติรูปแบบการกินอยู่ และการสร้างตารางออกกำลังกายเสียใหม่

เขาเลิกรับประทานเนื้อสัตว์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนมและไข่ และแทบจะไม่แตะต้องอาหารที่มีน้ำมันเลยในทางกลับกันเขารับประทานผลไม้ และผักมากขึ้น โดยที่เขาบอกว่า มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเบา มีสุขภาพที่ดีขึ้น และแข็งแรงขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขากล่าวกับผู้อ่านข่าวหลายต่อหลายครั้งว่าเขามีเป้าหมายที่จะลดน้ำหนักให้เหลือ 185 ปอนด์ ซึ่งเป็นน้ำหนักของเขาเมื่อตอนอายุได้ 13 ปี เท่านั้น

"คุณเชื่อไหมว่า เมื่อเราหันมาบริโภคพืชผักผมกลายเป็นรักอาหารพวกนี้ไปเลย ผมชอบถั่วต่างๆ ผลไม้ และผักเอามากๆ" เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น

และบอกอีกว่า "มันเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตว่าคุณจะทลายน้ำแข็งในใจ และพยายามลดเลิกอาหารที่เป็นพิษต่อสุขภาพ แต่อร่อยให้ได้"

คลินตันยังบอกอีกว่า เหมือนกับว่าที่ผ่านมาเขากำลังเอาสุขภาพไปเสี่ยงบนเกมรูเล็ตเพราะการบริโภคแต่ของอร่อยๆ แต่ไม่ได้สนใจต่อปริมาณสารพิษตกค้าง ปริมาณไขมันที่เข้าสู่กระแสเลือดมาเป็นเวลานาน ทำให้เขามีปัญหาเรื่องคลอเลสเตอรอล และนำไปสู่การป่วยด้วยโรคหัวใจในที่สุด

"ผมจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเสียที และวันนี้ ผลการตรวจเลือดทุกอย่างของผมออกมาดีหมด สุขภาพก็แข็งแรง และเชื่อหรือไม่ว่าการที่เรารับประทานมังสวิรัติ มันทำให้ผมรูสึกว่าตัวเองสุขภาพดีขึ้นมากๆ มีพละกำลังมากขึ้นด้วย"

หลังจากที่เขาเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจตั้งแต่ปี 2004 วันนี้คลินตันสามารถลดน้ำหนักลงไปได้แล้วกว่า 24 ปอนด์ เขาบอกว่า เขาเริ่มรับประทานอาหารที่ครั้งหนึ่งเคยปฏิเสธมาตลอดชีวิต อย่างเช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง เขาจริงจังกับการรับประทานมังสวิรัติมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา

กระทั่งล่าสุดดาราอย่างมิเซลไฟเฟอร์ ก็ยึดแนวทางของบิล คลินตัน หลังจากที่เธอดูสารคดีของซีเอ็นเอ็น และเรื่องราวชีวิตของบิล ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เธอหันมาควบคุมน้ำหนักอย่างถูกวิธีด้วย โดยเธอกล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ Piers Morgan Tonight ว่า

"อดีตประธานาธิบดีคลินตันเป็นคนที่รับประทานอาหารอันตราย ทุกคนทราบเรื่องนี้มาตลอด และฉันคิดว่า มันคงมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เขานึกได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิวัติวิถีชีวิตของตัวเองเสียที และถ้ามันไม่ดีกับตัวเองคนเก่งๆ คนฉลาดๆ  อย่างคลินตันคงไม่พยายามที่จะทำจนเห็นผลอย่างในทุกวันนี้แน่นอน และนี่จะทำจนเห็นผลอย่างในทุกวันนี้แน่นอน และนี่ทำให้ฉันคิดว่าจะปรับวิธีการบริโภคของตัวเองเสียใหม่ด้วยค่ะ" เธอกล่าว

การบริโภคแต่ของอร่อยๆ แต่ไม่ได้ในใจต่อปริมาณสารพิษตกค้าง ปริมาณไขมันที่เข้าสู่กระแสเลือดมาเป็นเวลานาน ทำให้เขามีปัญหาเรื่องคลอเลสเตอรอลและนำไปสู่การป่วยด้วยโรคหัวใจในที่สุด



ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ



อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

ธรรมะช่วยได้ เคล็ดลับจาก "โบว์-น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์"

“โบว์เคยมีอาการก้มแล้วแล้วมึนศีรษะ หน้ามืด เลยเริ่มรู้สึกว่าเราควรออกกำลังกาย”
ธรรมะช่วยได้ เคล็ดลับจาก "โบว์-น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์"
‘โบว์-โชติมา นวคุณากร’ นักแสดงจากละครน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ เริ่มต้นแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับการออกกำลังกายเพื่อฟื้นคืนสุขภาพให้เราฟัง
“...เลยเริ่มจากการวิ่งบนลู่ไฟฟ้า และเล่นฟิตเนส ซึ่งสะดวกกับเรามากที่สุด หลังจากออกกำลังกายได้สักพัก ก็รู้สึกได้เลยว่าร่างกายเราแข็งแรงขึ้นมาก อาการมึนศีรษะหายไปและพอได้ออกกำลังกายร่างกายเราก็สดชื่นขึ้น แม้ว่าจะต้องถ่ายละครดึกๆ เราก็ยังทำงานได้ไม่อ่อนเพลีย ซึ่งใช้เวลาในการออกกำลังกายในแต่ละครั้งประมาณ 2 ชั่วโมง”
แม้ว่างานของโบว์จะค่อนข้างเยอะ แต่เธอก็จะพยายามหาเวลาว่าง เพื่อออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ เพราะหากหยุดไปนาน เวลากลับไปเริ่มต้นออกกำลังกายอีกครั้งจะรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิม
ส่วนวิธีการดูแลสุขภาพใจ โบว์บอกว่าเธอชอบอ่านหนังสือธรรมะในยามว่าง
“อ่านแล้วก็ทำให้เราเข้าใจว่าโลกมนุษย์ก็เป็นแบบนี้ ทุกอย่างไม่สามารถที่จะควบคุมได้และเราก็ต้องแก้ไขให้มันดีขึ้น โบว์เชื่อว่าหากเราไม่ล้มแล้วจะรู้ได้ไงว่าลุกเป็นไง อ่านแล้วพอได้ยินคำพวกนี้ก็มีกำลังใจ ซึ่งหนังสือเล่มโปรดของโบว์ คือ หัวใจสีขาว ของคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย อ่านแล้วรู้สึกดี เหมือนให้เราชำระจิตใจ ทำให้จิตใจใสสะอาด ส่งผลให้ร่างกายเราสดใสไปด้วยค่ะ”
การอ่านหนังสือธรรมะของดาราวัยรุ่นอย่างเธอ วัยรุ่นหลายคนอาจจะมองว่าเชย แต่โบว์บอกว่า หนังสือธรรมะเป็นสิ่งที่เข้ากันดีกับวัยรุ่น เพราะเป็นวัยที่ต้องเริ่มต้นอะไรหลายๆ อย่าง บางคนอาจต้องเผชิญกับเรื่องราวที่ทำให้เครียด การอ่านหนังสือธรรมะจะทำให้เข้าใจความเป็นไปของชีวิตได้ดีขึ้น
“เวลาไปที่ไหนเจอหนังสือธรรมะ โบว์ก็จะนำมาเก็บไว้บนหัวนอน วันไหนอยากอ่านเล่มไหนก็หยิบขึ้นมาอ่าน ซึ่งเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ โบว์อยากให้ประเทศไทยเราเฟื่องฟูในเรื่องศาสนาพุทธ โบว์เชื่อว่าทุกคนมีศาสนาอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่อยากฝากเยาวชนว่าหากเราหันหน้าเข้าธรรมะ มันช่วยอะไรเราได้เยอะจริงๆ ค่ะ”
ที่มา : Team content www.thaihealth.or.th

อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

เคล็ดลับเลือกอาหารว่างให้เด็ก กินดีไม่อ้วน

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555


อาหารว่างแบบไหนเหมาะกับเด็กวัยกำลังโต พิจารณาง่ายๆ จาก 3 หลัก หากเลือกไม่ดีทำลายสุขภาพทางอ้อม ระวัง!..เด็กอ้วน เบาหวาน ภูมิแพ้
เด็กกับอาหารว่างหรือขนมของกินเล่นจุบจิบ ดูจะเป็นของคู่กัน ดังนั้น พ่อ แม่ ผู้ปกครองจึงต้องรู้หลักเลือกอาหารว่างที่ถูกต้องให้ลูกกิน หากเลือกได้เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงลูกเป็นโรคอ้วน เบาหวาน ขาดสารอาหาร และภูมิแพ้ได้
หลักเลือกอาหารว่างที่ดีสำหรับเด็ก ครั้งนี้ขอโฟกัสไปที่เด็กอายุระหว่าง 6-12 ปี หรือระดับประถมศึกษา วัยที่กำลังเจริญเติบโตที่ควรวางรากฐานโภชนาการให้ดี โดยสุมนมาลย์ ดวงสูงเนิน ผจก.ฝ่ายการตลาดธุรกิจไอศกรีมเนสท์เล่ บอกว่าอาหารว่างที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ ควร "หวานกำลังดี" มีน้ำตาลเป็นส่วนประผสมไม่เกิน 3 ช้อนชา หรือ 12 กรัม "ใช้สีธรรมชาติ" หรือใส่สีผสมอาหารจากธรรมชาติที่ปลอดภัยผ่านการรับรองจากอย. และ "โภชนาการเหมาะสม" คือ ให้พลังงานน้อยกว่า 150 กิโลแคลอรี
ส่วนคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แนะว่า เด็กวัยดังกล่าว ควรกินอาหารว่างไม่เกินวันละ 2 มื้อ แต่ละมื้อของอาหารว่างควรให้พลังงานไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ต้องการในแต่ละวัน หรือ 100-150 กิโลแคลอรี (ความต้องการพลังงานของเด็กวัยนี้ คือ 1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน)
ด้าน เภสัชกรทวีทรัพย์ เหลืองนทีเทพ ผจก.ฝ่ายโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี บอกอีกว่า เด็กวัยกำลังโตนี้ ร่างกายของพวกเขามีความต้องการพลังงานและโภชนาการที่เหมาะสมเพื่อใช้สำหรับการทำกิจกรรมและการเรียนรู้ ดังนั้น การกินอาหารแค่ 3 มื้อหลักอาจไม่เพียงพอ จึงไม่ควรห้ามเด็กๆ กินขนมหรือของว่าง เพราะเด็กกระเพาะเล็ก แต่หิวบ่อย เนื่องจากใช้พลังงานเยอะ การห้ามของว่างแล้วให้เน้นกินมื้อหลักมากๆ กลับทำให้กระเพาะคราก เสี่ยงอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังไม่ควรปลูกฝังให้เด็กกินอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสหวาน เพราะเป็นปัจจัยทำให้เป็นโรคอ้วน เบาหวาน และภูมิแพ้ได้
หนึ่งในเมนูอาหารว่างที่เด็กส่วนใหญ่ชอบกิน หนีไม่พ้นน้ำแข็งใส ซึ่งเภสัชกรทวีทรัพย์ บอกว่า ถ้าพ่อแม่ทำให้ลูกกินเองควรคุมความหวาน อย่าให้หวานมาก และควรเติมผลไม้ที่ลูกชอบเข้าไปด้วย ส่วนที่ซื้อจากร้านค้า อาจต้องซื้อในขนาดที่เล็ก ถ้าจะให้ดีควรชิมก่อน หากหวานมากควรเลี่ยง
อีกเมนูอาหารยอดฮิตก็คือ แซนวิช เภสัชกรทวีทรัพย์ แนะให้เลือกใช้ขนมปังโฮลเกรนแทนขนมปังขาว เพื่อให้ได้เส้นใยอาหารเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย ส่วนเนื้อสัตว์ใส่เพื่อให้ได้โปรตีนก็เลือกที่ติดมันน้อย ขณะที่ผักก็ควรใส่ แต่ไม่ควรใช้ผักออกรสขมชัด เช่น ผักกาด เนื่องจากเด็กรับรสขมได้ดี แนะนำเป็นแครอทลวกสุก ดีกว่าแครอทสด เพราะแบบสุกร่างกายจะดูดซึมสารอาหารจากแครอทได้ดีกว่า
ไม่อยากทำลายสุขภาพเด็กทางอ้อม อย่ามองข้ามการเลือกอาหารว่างที่เหมาะสมให้กับเขา


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์



อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

คนไทยป่วยโรคหัวใจพุ่งกว่าปีละ 1.7 หมื่นราย


แพทย์ชี้คนไทยป่วยด้วยโรคหัวใจกว่าปีละ 1.7 หมื่นราย ครึ่งหนึ่งจะเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เหตุพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยน กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ขาดออกกำลัง พักผ่อนน้อย

คนไทยป่วยโรคหัวใจพุ่งกว่าปีละ 1.7 หมื่นราย

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ กล่าวกรณีนายธราวุธ นพจินดา ผู้สื่อข่าวสายกีฬาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ว่า โรคหัวใจถือเป็นโรคทางพันธุกรรม แม้จะไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วย จากการตรวจสอบประวัติพบว่าพี่ชายของนายธราวุธก็เสียชีวิตด้วยโรคเดียวกัน แต่นายธราวุธ มีอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน และเคยเป็นอัมพฤกษ์ร่วมด้วย โอกาสที่จะเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันจึงมีมากขึ้น 

นพ.สุขุม กล่าวต่อว่า คนไทยเป็นโรคหัวใจเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเกิดในผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือหลังวัยหมดประจำเดือน โดยแต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 17,000 ราย ประมาณครึ่งหนึ่งจะเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ทั้งนี้เป็นเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป  นิยมรับประทานอาหารแบบตะวันตกมากขึ้น ทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบ 5 หมู่ น้ำหนักตัวเกิน ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ อีกทั้งยังละเลยการตรวจสุขภาพ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากกว่าปกติ 3-4 เท่า ดังนั้นจึงอยากให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง โรคกระเพราะ ต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ต้องกลัวการเป็นโรค และต้องรู้จักอาการของตัวเอง อย่าปล่อยให้อาการรุนแรง

“ที่น่าเป็นห่วงคืออาการลวงทำให้ผู้ป่วยคิดว่าเป็นอาการของโรคอื่น เช่น จุกเสียด  ปวดกราม ปวดไหล่ข้างซ้าย อาการเหล่านี้อาจสัมพันธ์กับอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเพราะหัวใจมีเส้นเลือดและเส้นประสาทกระจายไปทั่ว และที่น่ากลัวกว่าคือไม่แสดงอาการเลย โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นเบาหวาน ดังนั้นหากมีอาการแน่นหน้าอก จุกเหมือนมีอะไรมากดทับจนทำอะไรไม่ได้นานประมาณ 5 นาที ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที” นพ.สุขุม กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์



อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

กทม.เผยพื้นที่มลภาวะเป็นพิษ เข้มสนง.เขตตรวจควัน


กทม.เผยพื้นที่ผจญฝุ่น-มลภาวะเป็นพิษ เข้ม สนง.เขตตรวจควันดำ-ห่วงเด็ก-สูงวัยกลุ่มเสี่ยง

 กทม.เผยพื้นที่ผจญฝุ่น-มลภาวะเป็นพิษ เข้มสนง.เขตตรวจควันดำ-ห่วงเด็ก-สูงวัยกลุ่มเสี่ยง

นายเกรียงพล พัฒนรัฐ รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กทม.เปิดเผยว่า กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง (กจอ.) สำนักสิ่งแวดล้อมได้ติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศในเขต กทม. ระหว่างเดือน มี.ค.-เม.ย. ที่ผ่านมา สถานีตรวจรับคุณภาพอากาศและเสียงแบบถาวร จำนวน 21สถานี พบว่า บริเวณพื้นที่ริมถนนมีฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5ไมครอน, 10ไมครอน และก๊าซโอโซน เกินมาตรฐาน ในบางพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยที่ประกอบด้วยสารมลพิษอื่นๆ ได้แก่ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์

มีพื้นที่ดังนี้ บริเวณการเคหะชุมชนดินแดง ตรวจวัดได้ 12.6 - 86.3ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. เกินมาตรฐาน 50ไมโครกรัม 16ครั้ง จากการตรวจวัด 61ครั้ง, ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10ไมครอน ตรวจวัดได้ 9.9 - 285.5ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. ซึ่งมาตรฐานห้ามเกิน 120ไมโครกรัม พบเกินมาตรฐาน 28ครั้ง จากการตรวจวัด 449ครั้ง บริเวณสำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ เขตราชเทวี สวนป่าวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง เขตพระโขนง และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เขตปทุมวัน

สำหรับก๊าซโอโซน ค่าเฉลี่ย 1ชั่วโมง ตรวจวัดได้ 0.0 - 158.1ส่วนในพันล้านส่วน ซึ่งมาตรฐานไม่เกิน 100ส่วนในพันล้านส่วน เกินมาตรฐาน 9ครั้ง จากการตรวจวัด 4,989ครั้ง พบสำนักงานเขตราชเทวี เขตราชเทวี และกรมการขนส่งทางบก เขตจตุจักร มีปัญหามากที่สุด

สำนักสิ่งแวดล้อม จึงเร่งรัดให้สำนักงานเขตดังกล่าวเข้มงวดการตรวจจับรถควันดำ เพิ่มความถี่ในการล้างถนน พร้อมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชน ทั้งนี้กลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบได้ง่าย ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่นอกอาคารเป็นเวลานานและงดการออกกำลังกายนอกอาคาร 

เตือนบริโภค'หน่อไม้ดิบ' เสี่ยงรับไซยาไนด์อันตรายถึงชีวิต


กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนบริโภค “หน่อไม้ดิบ” ปริมาณมาก เสี่ยงรับไซยาไนด์ซึ่งมีอยู่ในหน่อไม้ตามธรรมชาติ อันตรายถึงชีวิต 

เตือนบริโภค'หน่อไม้ดิบ' เสี่ยงรับไซยาไนด์อันตรายถึงชีวิต

นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เฝ้าระวังการบริโภคอาหารของประชาชนทั่วประเทศ พบว่า หน่อไม้เป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภคมาก

ล่าสุดมีการโฆษณาชวนเชื่ออ้างว่าหน่อไม้บงหวานสามารถทานดิบได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงเตือนประชาชนที่นิยมบริโภคหน่อไม้ดิบหรือหน่อไม่ ที่ยังปรุงไม่สุก อาจได้รับพิษจากสารไซยาไนด์ ซึ่งมีอยู่ในหน่อไม้ตามธรรมชาติ และทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หากเข้าสู่ร่างกายในปริมาณน้อย สามารถขับออกทางปัสสาวะได้ แต่ถ้าได้รับในปริมาณมาก สารไซยาไนด์จะจับตัวกับสารในเม็ดเลือดแดง (hemoglobin) แทนที่ออกซิเจนทำให้เกิดอาการขาดออกซิเจน หมดสติและอาจทำให้เสียชีวิตได้

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ และองค์การอนามัยโลก(WHO) ได้กำหนดให้ค่า ADI (Acceptable Daily Intake) หรือปริมาณสารที่ร่างกายรับได้ สำหรับสารไซยาไนด์เฉลี่ยที่ร่างกายรับได้ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ซึ่งจากการสำรวจครั้งนี้ พบว่าปริมาณไซยาไนด์เฉลี่ยที่คนไทยได้รับใกล้เคียงค่า ADI แต่ในกลุ่มที่ผู้บริโภคบริโภคหน่อไม้ในปริมาณมากเกินไปจะทำให้มีปริมาณสูงกว่าค่าADI กำหนดถึง 1.8 เท่า

นายมงคล เจนจิตติกุล ผู้อำนวยการสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กล่าวว่า การบริโภคหน่อไม้ที่ต้มสุกจะทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากการได้รับสารไซยาไนด์ แต่หากอุณหภูมิและระยะเวลาในการต้มไม่เหมาะสมก็ไม่สามารถลดปริมาณสารชนิดนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคก่อนที่จะนำหน่อไม้ไปบริโภคควรปรุงให้สุก ด้วยการต้มหน่อไม้ในน้ำเดือดนานอย่างน้อย 10 นาที ซึ่งสามารถลดปริมาณสารไซยาไนด์ลงได้ถึงร้อยละ 90.5


กินยาลดกรดมากระวังเป็นนิ่ว

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เมื่อคนเราเกิดอาการท้องอืด หรือท้องเฟ้อนั้น ต่างก็ต้องกระสับกระส่าย เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง เรอเหม็นเปรี้ยว และอึดอัดอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ สาเหตุส่วนใหญ่มักจะมาจากการรับประทานอาหารของเรานั่นเอง บ้างก็ทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสจัดบ้างล่ะ หรือทานพวกเนื้อสัตว์ที่ย่อยยากๆ ทุกอย่างเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ทั้งสิ้น
เมื่อเวลาเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อแล้ว ส่วนใหญ่ก็มักจะไปซื้อยามารับประทานกันเอง แป๊บเดียวก็หาย ดังนั้น จึงเป็นที่รู้กันว่าหากเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อเมื่อไหร่ กินก็หาย
แต่ฟังให้ดีๆ นะ
เนื่องจากยาลดกรดที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบนั้น อาจจะส่งผลให้คนที่ทานยาตัวนี้บ่อยๆ มีโอกาสเป็นนิ่วสูง ส่วนใครที่กินยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแมกนีเซียมสูง อาจจะเจอกับภาวะท้องร่วงได้ และใครก็ตามที่เป็นโรคไต ควรอยู่ให้ห่างจากยาตัวนี้เลยทีเดียว และยาลดกรดที่มีส่วนผสมของอลูมินัมเป็นหลัก ก็อาจจะทำให้กระดูกเปราะได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม คราวหน้าถ้าเกิดอาการ ลองหันมาดื่มน้ำขิง ร้อนๆ สักแก้วแทน จะช่วยลดอาการได้เหมือนกัน แถมไม่ต้องเสี่ยงโรคด้วย แต่ถ้าคุณอยู่นอกบ้านแล้วไม่สะดวก ก็ทานยาได้ค่ะ แต่อย่าทานบ่อยเกินไป
ทางที่ดีควรหันมาปรับเปลี่ยนลักษณะการกินของคุณเองจะดีกว่า เพียงแค่ทานข้าวให้ตรงเวลา ลดของมันๆ อาหารรสจัดๆ หรือเนื้อสัตว์ลง เพียงเท่านี้ก็ไม่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อแล้ว


ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ


อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

"การบรรเทาความเจ็บปวด จากการผ่าตัด"

"การบรรเทาความเจ็บปวด จากการผ่าตัด"

การผ่าตัดเกือบทุกชนิด เพื่อการรักษาโรคหรือผ่าตัดเพื่อการวินิจฉัย ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งที่สร้างความกังวลต่อผู้ป่วยและคนใกล้ชิดคือความเจ็บ ปวดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่แตกต่างกันไป ทั้งตำแหน่งของการผ่าตัดขนาดและความชอกช้ำของแผลผ่าตัด วิธีการระงับความรู้สึกและบรรเทาความเจ็บปวดที่ใช้ การรับรู้และความทนทานต่อความปวดของผู้ป่วยแต่ละคน แผ่นพับนี้จะให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการบรรเทาความเจ็บปวดจากการผ่าตัด วิธีการที่ใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากการผ่าตัด

วิธีบรรเทาปวดที่สามารถใช้ได้นั้นมีมากมายหลายวิธี แต่ทั้งนี้ต้องเลือกใช้ตามความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ขึ้นอยู่กับโรคประจำตัว ภาวะร่างกาย ยาที่ใช้อยู่ประจำ ชนิดและตำแหน่งของการผ่าตัด เป็นต้น แพทย์ที่ดูแลท่านจะเลือกใช้วิธีการที่ดีและเหมาะสมที่สุด เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดแก่ท่าน โดยอาจผสมผสานหลายวิธีร่วมกันเพื่อประโยชน์สูงสุดในการบรรเทาความปวด โดยวิธีการบรรเทาปวดอาจทำได้หลายวิธี

1.การใช้ยาบรรเทาปวดชนิดรับประทาน

ใช้ในการผ่าตัดที่ความเจ็บปวดน้อย การผ่าตัดเล็กหรือการผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยนอก เพื่อนำยากลับไปรับประทานที่บ้านได้

อาจใช้ร่วมกับการบรรเทาปวดชนิดอื่นๆ เพื่อผสมผสานเพิ่มผลการบรรเทาปวดในการผ่าตัดใหญ่ที่มีความปวดมาก มักใช้ในวันที่สองหลังผ่าตัดขึ้นไป เมื่อความเจ็บปวดไม่มากแล้วก็สามารถบรรเทาอาการปวดได้ดี

2.การใช้ยาบรรเทาปวดชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือเข้ากล้ามเนื้อ

เป็นการฉีดยาระงับปวดผ่านเส้นน้ำเกลือในขนาดที่เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยเว้นระยะเวลาการให้ยาประมาณ 2-4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการได้ยาในขนาดที่สูงเกินไปมักใช้เสริมการบรรเทาปวดชนิดอื่นๆ โดยเมื่อผู้ป่วยปวดจึงให้ยาเพิ่มเป็นครั้งๆ ไป เหมาะกับการผ่าตัดที่ปวดน้อยถึงปานกลาง

สำหรับการผ่าตัดที่ปวดมาก สามารถให้ยาโดยการหยดยาบรรเทาปวดผ่านเส้นน้ำเกลือเข้าหลอดเลือดดำ และฉีดเพิ่มเป็นครั้งคราว เพื่อเพิ่มผลการบรรเทาปวดได้ เมื่อผู้ป่วยปวดลดลงแล้วอาจลดยาหยดทางเส้นน้ำเกลือลงได้ในวันถัดๆ ไป



ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมืองโดยนพ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์

อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

อย. ยัน ไทยไม่มีการนำเข้านมปนเปื้อนปรอทจากจีน

อย. ตรวจสอบแล้ว ระบุไม่มีการนำเข้านมที่ผลิตโดย หยี่ลี่ อินดัสทรี่ กรุ๊ป เข้ามาในประเทศไทย หลังพบนมที่ผลิตจากบริษัทดังกล่าวมีการปนเปื้อนสารปรอทในระดับที่เป็น อันตราย อย.พร้อมสั่งการด่านอาหารและยาทั่วประเทศเข้มงวดการนำเข้านมจากประเทศจีน

อย. ยัน ไทยไม่มีการนำเข้านมปนเปื้อนปรอทจากจีน

ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยกรณีคณะกรรมการควบคุมคุณภาพสินค้า ตรวจสอบและกักกันของรัฐบาลจีน(เอคิวเอสไอคิว) ตรวจพบสารปรอทในระดับที่ไม่ปกติในนมผงสำหรับเด็กสูตรชวนหยูของ หยี่ลี่ อินดัสทรี่ กรุ๊ป (YILI INDUSTRY GROUP) ซึ่งสารปรอทในระดับที่พบสามารถเป็นอันตรายต่อสมอง หัวใจ ไต ปอด และระบบภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวได้เรียกเก็บนมผงสูตรดังกล่าวที่ผลิตตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2554 ถึงพฤษภาคม 2555 กลับคืนทั้งหมด หลังจากทราบข่าว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อมูลการนำเข้านมที่ผลิตจาก หยี่ลี่ อินดัสทรี่ กรุ๊ป พบว่า ประเทศไทยไม่มีการนำเข้านมที่ผลิตโดย หยี่ลี่ อินดัสทรี่ กรุ๊ป แต่อย่างใด ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้สั่งการให้ด่านอาหารและยาทั่วประเทศเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์นมที่นำเข้าจาก ประเทศจีนอย่างเข้มงวด โดยดำเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์นมที่นำเข้าจากประเทศจีนเพื่อ คุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค จึงขอให้ผู้บริโภควางใจ

รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวด้วยว่า ขอให้พ่อ แม่ ผู้ปกครองระมัดระวังในการเลือกซื้อนม โดยควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ได้รับเครื่องหมาย อย. มีวัน เดือน ปีที่หมดอายุ และมีการจัดเก็บอย่างเหมาะสม อย่าซื้อผลิตภัณฑ์นมผงที่แบ่งบรรจุใส่ถุงโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะไม่ทราบแหล่งที่มาของนมแล้ว ยังอาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคในนมอีกด้วย ทั้งนี้ ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพใด ๆ ขอให้ผู้บริโภคพิจารณาข้อมูลส่วนอื่น ๆ บนฉลากผลิตภัณฑ์สุขภาพก่อนตัดสินใจซื้อ อาทิ การแสดงฉลากภาษาไทย ชื่อที่อยู่ผู้ผลิต/นำเข้า แสดงวันเดือนปีที่ผลิต หรือวันเดือนปีที่หมดอายุของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ตัวผลิตภัณฑ์ ผู้จำหน่าย เป็นต้น และหากสงสัยหรือไม่แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นปลอดภัยหรือไม่ สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. โทร. 1556 หรืออีเมล : 1556@fda.moph.go.th






ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ



อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

คนไทยกว่า 17 ล้าน น้ำหนักตัวเกิน-อ้วน

คนไทยกว่า 17 ล้านคน น้ำหนักตัวเกิน-อ้วน สธ.เร่งสลายพุง-ลดตายปีละ 2 หมื่นราย

 คนไทยกว่า 17 ล้านคน น้ำหนักตัวเกิน-อ้วน สธ.เร่งสลายพุง-ลดตายปีละ 2 หมื่นราย

นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมเสวนาเรื่อง "รวมใจสลายพุง ปี 2555" ว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างสุขภาพและควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อ เรื้อรัง ซึ่งพบว่าคนไทยป่วยด้วยโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 2 คน ตายชั่วโมงละคน นับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ต้องเร่งดำเนินการป้องกันและรักษา เพราะผู้ป่วยโรคหัวใจประมาณ ร้อยละ 70 มักจะมีปัญหาโรคอ้วนหรือมีไขมันในเลือดสูงมาก่อน ซึ่งจากข้อมูลการสำรวจสภาวะสุขภาพคนไทยคาดประมาณได้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินจนถึงระดับอ้วนมากกว่า 17 ล้านคน และพบอีกว่าในแต่ละปีคนไทยเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากประชากรทั้งหมด เสียชีวิตจากโรคอ้วนถึงปีละประมาณ 20,000 คน ส่งผลให้รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคอ้วนและโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนมากกว่าปีละ 1 แสนล้านบาท

นพ.สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเร่งลดปัญหาและป้องกันไม่ให้คนไทยป่วยเป็นโรคอ้วน 2 ประการ คือ 1.นโยบายเร่งรัดมาตรการสร้างสุขภาพ โดยให้มีการรณรงค์สร้างความตระหนักถึงอันตราย และปัจจัยเสี่ยงของโรคอ้วนลงพุงและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การให้ความรู้ในวงกว้าง การรณรงค์เรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้านการบริโภค และการเคลื่อนไหวออกแรงออกกำลังกาย เพื่อลดผลกระทบจากโรคดังกล่าวข้างต้น และนโยบายที่ 2 คือการป้องกันเพื่อลดจำนวนผู้ป่วย โดยลดอ้วนอย่างถูกวิธี ลดอาหารประเภทหวาน มัน เค็ม เพิ่มกินผัก ผลไม้ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

สธ.สระแก้วเตือน "หญ้าเทวดา" แค่ผักพื้นบ้าน กินมากอันตราย!!!

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สธ.สระแก้วเตือนประชาชน "หญ้าเทวดา"รักษาสารพัดโรค แค่ผักพื้นบ้านเท่านั้น กินมากอันตราย!!!

หญ้าเทวดา

นพ. อัษฏางค์ รวยอาจิณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว ให้สัมภาษณ์ถึงหญ้าเทวดา หรือ หญ้าหยาดน้ำค้าง หรือหญ้ากาบหอยตัวเมีย ว่าหลังจากมีประชาชนจำนวนมาก ไปเก็บหญ้าหยาดน้ำค้าง หรือหญ้ากาบหอยตัวเมีย กลางทุ่งนา ริมถนน สระแก้ว-เขาฉกรรจ์ หมู่ที่ ต. เขาแกรรจ์ ไปต้มกิน โดยมีความเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้มากมายหลายโรคนนั้น ล่าสุด ได้รับรายงานจากโรงพยาบาลในพื้นว่า ประชาชนที่นำเอาหญ้าดังกล่าว ไปต้มน้ำกินวันละ 2-3 ลิตร ในช่วง 2 วันแรกมีอาการเบาตัว ไม่มีอาการปวดเมื่อย จึงกินติดต่อกัน พอมาวันที่ 3 เริ่มมีอาการไข้สูงมาก เวียนศรีษะ อาเจียน ท้องเสีย มีอาการถ่ายท้องมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน จนต้องรีบส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล จึงขอเตือนประชาชนที่นำหญ้าพวกนั้น เป็นเพียงผักพื้นบ้านประเภทหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสรรพคุณในการรักษาโรคตามคำร่ำลือใดใดทั้งสิ้น แล้วยังอาจเกิดอันตรายได้

นพ. สาธารณสุขจังหวัดสระแก้วกล่าวว่า จากการลงตรวจสอบพบว่าเป็นหญ้าชนิดเดียวกับที่เคยเป็นข่าวที่จังหวัด กำแพงเพชรเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้มีนักวิชาการ นักพฤกษศาสตร์ จากกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เครือข่ายจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ และมูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา ได้ระบุว่าเป็น “หญ้าหยาดน้ำค้างหรือหญ้ากาบหอยตัวเมีย” ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านพบมากในหลายจังหวัด สรรพคุณเด่นคือ ฆ่าเชื้อโรค ลดไข้ ทางภาคอีสานใช้รักษากามโรค หมอพื้นบ้านทางภาคอีสานใช้แก้กลากเกลื้อน ต้มอาบ ฆ่าแบคทีเรีย ไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้


ที่มา :หนังสือพิมพ์มติชน

อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

อันตรายยาชื่อพ้อง มองคล้าย สภาเภสัชกรรมเผยผลสำรวจเบื้องต้น

สภาเภสัชกรรมเผยผลสำรวจเบื้องต้น เกี่ยวกับการรับรู้เรื่องยาในต่างจังหวัด พบว่า 3 ใน 4 หรือร้อยละ 75 ใช้ยาโดยไม่รู้จักชื่อยา ในขณะที่คนกรุงเทพฯ ผลลัพธ์ที่ได้จากการสำรวจก็ไม่แตกต่างกัน เผชิญอันตรายกว่าที่คิด เพราะยามีหลายชนิดที่ "ชื่อพ้อง มองคล้าย" เสี่ยงใช้ยาผิดชนิด ผิดขนาด หรือผิดประเภท และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

การใช้ยา

ภญ.รศ.ธิดา นิงสานนท์ นายกสภาเภสัชกรรมเปิดเผยว่า สภาเภสัชกรรมได้ทำการสำรวจเบื้องต้นเกี่ยวกับการรับรู้เรื่องยาของผู้ป่วย โรคเรื้อรัง โดยทำในกลุ่มตัวอย่างที่มารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลใหญ่ 3 แห่งในภาคใต้ และภาคกลาง จำนวนกว่า 1,000 คน เป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดหัวใจ หอบหืด ภูมิแพ้ และโรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น โดยร้อยละ 20 ของกลุ่มตัวอย่างมีรายการยาที่ต้องใช้เป็นประจำ 6-10 รายการ แต่จากการสำรวจ พบว่า มีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 25 เท่านั้นที่รู้จักทั้งชื่อยาและสรรพคุณยาที่ตนเองใช้อยู่ ในขณะที่ผู้ป่วยอีกร้อยละ 75 ไม่รู้จักชื่อยา รู้แต่สรรพคุณและวิธีใช้ นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 25 ไม่เคยอ่านฉลากยาก่อนใช้ยา ร้อยละ 86 หยิบยาใช้เอง

จากผลสำรวจเบื้องต้น พบว่าปัจจุบันคนไทยยังให้ความสำคัญกับชื่อยาน้อยมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะชื่อยาเป็นภาษาอังกฤษจำยากไม่คุ้นหู หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องช่วยกันรณรงค์ เพราะการที่ผู้ป่วยไม่รู้จักชื่อยาที่ใช้นั้นอันตรายกว่าที่คิด เนื่องจากยาที่ใช้รักษาอาการหรือโรคเดียวกันมีหลายชนิด เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตมีเป็นสิบๆ ชนิด และแต่ละตัวยังมีหลายขนาดความแรง ซึ่งยาแต่ละตัวอาจจะเหมาะกับผู้ป่วยรายหนึ่ง แต่อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยอีกราย หรืออาจมีผลข้างเคียงกับผู้ป่วยอีกรายทั้งนี้ขึ้นกับสภาวะร่างกายของผู้ป่วย แต่ละคนด้วย

การที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ชื่อยาที่ใช้อยู่ทำให้น่าเป็นห่วง เพราะคนไทยชอบแนะนำยาให้คนใกล้ชิดหรือเพื่อนๆ กันลองใช้ดูเพราะเห็นว่าตนเองใช้ได้ผลดี การบอกเพียงรูปลักษณ์ของยามีโอกาสเสี่ยงที่จะแนะนำยาผิด


ที่มา :หนังสือพิมพ์มติชน


อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

ระวังภัยร้ายยุงลาย ระบาดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นอันดับต้นๆ

เมื่อย่างเข้าสู่หน้าฝน...โรค ระบาดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้น "ไข้เลือดออก" ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะ เพราะเมื่อฝนตกก็จะพบเห็นว่ามีน้ำท่วมขังตามที่ต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 ภัยร้ายยุงลาย

แหล่งน้ำเหล่านั้นก็จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงชั้นเยี่ยมเลยทีเดียว บวกกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวและมีความชื้นสูง ทำให้การแพร่พันธุ์ของเหล่ายุงลายเป็นไปอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามาสู่ประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มของเด็กๆ และเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 15 ปี แม้ว่าไข้เลือดออกจะพบมากในผู้ป่วยที่เป็นเด็กก็ตาม แต่คนทุกเพศทุกวัยก็จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ที่สามารถติดเชื้อได้ตลอดเวลาเช่นกัน ถ้าทุกคนไม่ได้ระวังตัวให้ดี

การหลีกเลี่ยงการถูกยุงลายกัดในเวลากลางวันสำหรับผู้ใหญ่นั้นดูจะเป็น เรื่องง่าย แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่เป็นเด็กนั้นดูจะเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน เพราะเด็กบางคนอาจจะไม่คิดว่าการถูกยุงกัดเพียงเล็กน้อย จะทำให้เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ปัจจุบันยังไม่พบวัคซีนที่ป้องกันไข้เลือดออกได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้ทุกคนติดเชื้อไข้เลือดออก โดยการช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง ไม่ให้เกิดการแพร่พันธุ์ของยุงลาย

การปิดภาชนะกักเก็บน้ำด้วยฝาปิด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ยุงลายเข้าไปวางไข่ หรือการเปลี่ยนน้ำในภาชนะต่างๆ ทุก 7 วัน เพื่อไม่ให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย จะเป็นการช่วยขจัดภัยร้ายชนิดนี้มาสู่ทุกคนในครอบครัว และสังคมได้วิธีหนึ่ง มาช่วยกันเถิด


ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง โดยหยกสยาม


อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว 
วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks