อธิบดีกรมควบคุมโรค
ยันโรคมือ-เท้า-ปาก เอาอยู่! ขณะที่ สธ.เตรียมรับมือการระบาดของ
โรคติดต่ออุบัติใหม่-อุบัติซ้ำ คืนชีพและกลายพันธุ์ ทั้ง “หวัด
2009-วัณโรค-ฉี่หนู” และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ระบาดรุนแรง
ต้นเหตุจากวัยรุ่นยุคใหม่นิยมมีเซ็กซ์แบบสวิงกิ้ง ด้าน ผอ.สำนักระบาดวิทยา
ระบุอีก 4 โรคระบาดที่มากับนักเดินทาง และแรงงานไทย
หวั่นคนไทยไม่มีภูมิต้านทาน สามารถติดโรคนี้ได้ทุกคน!
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข ไม่อยากให้คนไทยมัวตื่นตระหนกกับโรค
มือ-เท้า-ปาก เพียงอย่างเดียว
จนลืมที่จะระวังดูแลรักษาตัวให้ห่างจากโรคอื่นๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้น
และแพร่กระจายหรือมีการระบาดอย่างรวดเร็วได้ไม่ต่างจากโรค มือ-เท้า-ปาก
ทั้งโรคอุบัติซ้ำ โรคอุบัติใหม่ โรคประจำถิ่น และอีก 4
โรคระบาดที่มากับนักเดินทางที่เข้ามายังประเทศไทยทุกรูปแบบ
หรือคนงานที่ไปทำงานในต่างประเทศ ฯลฯ
ก็สามารถเป็นผู้แพร่เชื้อได้ง่ายที่สำคัญก็อาจทำให้ผู้รับเชื้อถึงแก่ชีวิต
ได้เช่นกัน!
‘มือ-เท้า-ปาก’ สธ.เอาอยู่
ตัวเลขการแพร่ระบาดโรคมือ-เท้า-ปาก
สู่เด็กเล็กที่ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ณ วันที่ 25 ก.ค. 2555
สำนักระบาดวิทยารายงานว่ามีผู้ป่วยโรคมือ-เท้า-ปาก นับตั้งแต่ต้นปีสูงถึง
17,656 ราย จาก 77 จังหวัด เทียบกับปีที่แล้วซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยรวมทั้งสิ้น
18,000 กว่าราย
อธิบดีกรมควบคุมโรคคาดการณ์ว่าปีนี้ตัวเลขจำนวนผู้ป่วยจะพุ่งสูงมากกว่าปี
ที่แล้วแน่นอน เพราะโรคนี้จะยังมีการระบาดต่อไปอีกประมาณ 6-8 สัปดาห์
ล่าสุดเพิ่งมีเด็ก 2 ขวบเสียชีวิตจากโรคนี้
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมั่นใจว่าจะไม่มีผู้เสียชีวิตมากนัก
เพราะข่าวสารของโรคมือ-เท้า-ปาก
กระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวที่จะรีบพาลูกหลานไปพบแพทย์เมื่อมีไข้สูงนานกว่า
48 ชั่วโมง ทำให้สถิติจำนวนผู้ป่วยนอกดูเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่จำนวนผู้ป่วยในและผู้เสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ
“โรคมือ-เท้า-ปาก ในไทยปีนี้ถือว่ามีการระบาดมาก
แต่อาการของผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้รุนแรงกว่าปกติ โรคนี้
เกิดจากเชื้อไวรัสในลำไส้ หรือเอนเทอโรไวรัสหลายสายพันธุ์ย่อย
ซึ่งสายพันธุ์ที่พบบ่อยในไทยเป็นเชื้อคอกซากี เอ (Coxsackievirus A16)
ซึ่งไม่รุนแรง”
โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
ได้ตั้งหน่วยเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคนี้อย่างใกล้ชิด
โดยมีทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว (Surveillance Rapid Response Team :
SRRT) ที่ปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมงกว่า 1,000 ทีมทั่วประเทศ
เพื่อเข้าถึงพื้นที่อย่างรวดเร็ว และในจังหวัดที่พบผู้ป่วยมากกว่า 10
รายต่อวันให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด (War Room)
เพื่อป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่
ขณะเดียวกันก็มีการคุมเข้ม 2 มาตรการ คือ 1.
ควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโดยเร็วที่สุด โดยประสานกับโรงเรียนอนุบาล
โรงเรียนประถมศึกษา และศูนย์เด็กเล็กในพื้นที่
ให้เน้นเรื่องการทำความสะอาดป้องกันการแพร่เชื้อ
หากมีเด็กป่วยต้องให้หยุดเรียน และให้เด็กหมั่นล้างมือ
กินอาหารร้อนและสุกใหม่ 2.
ดูแลรักษาผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด
โดยเน้นย้ำผู้ปกครองทุกคน หากพบเด็กมีไข้สูง 2 วัน ซึมลง และอาเจียน
ให้รีบพบแพทย์ทันที
และกำชับแพทย์ให้ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนรุนแรงของโรคมากขึ้น
รวมไปถึงผู้ป่วยที่ไม่มีตุ่มขึ้นที่ปาก หรือฝ่ามือ ฝ่าเท้าด้วย
“โรคนี้จะเกิดกับคนที่มีภูมิคุ้มกันตัวเองน้อย
เด็กที่ถูกเลี้ยงดูแบบสะอาดมากเกินไปจะเป็นโรคนี้ได้ง่ายกว่าเด็กที่มี
ภูมิคุ้มกัน ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ยิ่งต้องมีภูมิคุ้มกัน
เพราะโรคนี้ผู้ใหญ่ก็เป็นได้ แต่จะแสดงอาการเป็นตุ่มเหมือนร้อนใน
และหายได้ไม่ยาก”
ดังนั้น สธ.จึงเน้นย้ำในเรื่องการรักษาความสะอาดในทุกๆ สถานที่
และต้องดูแลตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรง เนื่องเพราะช่วงฤดูฝน ตามด้วยฤดูหนาว
มักจะมีโรคระบาดอื่นๆ เกิดขึ้นตามมาได้อีก
หวัด 2009 กลายพันธุ์ทุกปี
อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่า โรคอุบัติใหม่
หรือโรคระบาดที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น ที่น่าเป็นห่วงที่สุด
ยังคงเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009
ที่ถือว่าเป็นโรคที่เชื้อไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
หากกล่าวตามภาษาแพทย์เรียกว่าเป็นเชื้อโรคที่ไม่มีเปลือกหุ้ม กล่าวคือ
เมื่อเชื้อเหล่านี้เข้าร่างกายแล้ว จะไปเจอเม็ดเลือดขาวขนาดเล็กเรียกว่า
CD4 เพื่อเข้าไปเอานิวเคลียสของดีเอ็นเอมาสร้างไวรัส
หรือแบ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งจะเป็นเชื้อที่มีการเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนตัวเดิม
“ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เป็นโรคที่ต้องสู้กับมันตลอดเวลา
เพราะอุบัติใหม่ทุกปี ต้องสู้กับมัน
โดยองค์การอนามัยโลกจะเป็นผู้พยากรณ์ว่าในปีหน้า เชื้อจะเป็นอย่างไร
แล้วจะเริ่มมีการผลิตวัคซีนรักษา”
“โรคเพศสัมพันธ์-วัณโรค”อุบัติซ้ำรุนแรง
ส่วนโรคอุบัติซ้ำนั้น ก็ยังคงพบว่าเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประทศไทย
ส่วนใหญ่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่ โรคโกโนเรีย ซิฟิลิส
และโรคเอดส์
“พฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่น คือไม่ใช้ถุงยางอนามัย มีการเปลี่ยนคู่นอน
และมีพฤติกรรมทางเพศแบบหมู่คณะ (สวิงกิ้ง)
ตรงนี้ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เคยเบาบางไปแล้ว กลับมาระบาดหนักอีก”
ส่วนโรคอุบัติซ้ำที่ยังคงมีการเสียชีวิตอยู่ตลอดเวลานั้น อีกโรคหนึ่งคือ
“วัณโรค” ปัจจุบันเชื่อว่าคนไทยเป็นโรคนี้กันจำนวนมาก มีทั้งแสดงอาการ
และไม่แสดงอาการ
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญโดยพยายามหาคนที่เป็นโรคนี้ให้เจอและรีบ
รักษา
โดยสัดส่วนการรักษาอยู่ในระดับที่เป็นมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกคือ
หาเจอและรักษาได้ร้อยละ 70 ของคนที่เป็นโรคนี้ทั้งหมด
ซึ่งในจำนวนนี้จะต้องมีการให้กินยาครบอย่างน้อยร้อยละ 90
เพราะหากกินยาน้อยกว่านี้จะทำให้เชื้อโรคดื้อยา
ดังนั้นคนที่พบว่าเป็นวัณโรคแล้วจะต้องกินยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอถึงจะ
รักษาโรคของตัวเองให้หายขาดได้
ทิ้งอาหารเรี่ยราด-ระวังโรคฉี่หนู
ด้านโรคประจำถิ่น โรคที่น่าเป็นห่วงที่สุดในกลุ่มนี้คือ โรคฉี่หนู
(Leptospirosis) ที่ยอมรับว่ารู้จักโรคนี้มานาน
แต่ยังไม่สามารถเอาชนะโรคนี้ได้
เพราะการแพร่กระจายของเชื้อโรคผ่านหนูนั้นควบคุมได้ยาก ทำให้ปีที่แล้ว
(2554) มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากถึง 70 คน ขณะที่ปี 2555 นี้ แค่ 6
เดือนมีคนตายไปแล้ว 21 ราย
สำหรับวิธีดูว่าเป็นโรคนี้หรือไม่ ให้สังเกตง่ายๆ ว่า “ไข้สูง ปวดหัว
ปวดน่อง” ให้รีบไปหาหมอ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องสัมผัสกับที่ชื้นตลอดเวลา
แต่ถ้าสถานที่ไหนเป็นที่แห้ง เชื้อจะตายได้ง่ายกว่า
“โรคนี้ตอนน้ำท่วมเป็นห่วงมาก ก็ต้องรีบให้ความรู้
เพราะว่าตอนน้ำท่วมโรคนี้ไม่น่ากลัว แต่จะรุนแรงตอนน้ำแห้ง
ต้องรีบทำความสะอาดอย่าให้มีเศษอาหารทิ้งเรี่ยราด
เพราะเป็นแหล่งอาหารของหนู และระหว่างทางที่หนูเดินก็จะมีการฉี่เรี่ยราด
ทิ้งเชื้อโรคมาตลอดทาง”
ทั้งนี้ บุคคลที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคฉี่หนูอีก
คือคนในออฟฟิศที่มีหนูอาศัยอยู่ และมีหนูมาฉี่และอึทิ้งไว้ตามโต๊ะ
จะต้องหมั่นทำความสะอาด เพราะเป็นแหล่งเชื้อโรค
ทำให้เป็นโรคฉี่หนูได้เช่นเดียวกัน
จับตา 4 โรคระบาดมากับนักเดินทาง
ด้านสำนักระบาดวิทยา เปิดเผยเพิ่มเติมว่า
โรคอุบัติใหม่ที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังติดตามและเฝ้าระวังอย่างหนักคือ
โรคอุบัติใหม่ที่นักเดินทาง
หรือผู้ที่ไปทำงานต่างประเทศจะนำติดตัวกลับมาแพร่กระจายได้ด้วย
นพ.ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข ระบุ 4
โรคอุบัติใหม่ที่ต้องเฝ้าระวังการนำเชื้อโรคเข้ามาของนักเดินทางหรือคนงาน
ที่ไปทำงานในต่างประเทศ ได้แก่ โรคไข้เหลือง โรคกาฬโรค โรคโปลิโอ
และโรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ ซึ่งถือเป็น 4 โรคร้ายแรงที่ต้องจับตา
เพราะเป็นโรคที่ติดเข้ามาได้ง่าย และคนไทยยังไม่มีภูมิต้านทาน
“ไข้เหลือง จะเป็นโรคที่ติดมาจากแถบประเทศแอฟริกา,
กาฬโรคจะติดมาจากแอฟริกา และบางส่วนของเอเชียกลาง เช่น บางพื้นที่ของจีน
อินเดีย, โปลิโอ ซึ่งหายจากเมืองไทยไปเป็น 10 ปี ก็สามารถติดได้จากแอฟริกา
ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน สำหรับไวรัสนิปป้า ที่จะมีอาการเหมือนสมองอักเสบ
ก็จะมีมากทางบังกลาเทศ
ซึ่งเชื้อนี้เคยเกิดขึ้นในภาคใต้ของไทยเมื่อหลายสิบปีก่อนด้วย”
อาการบ่งชี้ 4 โรคที่มากับนักเดินทาง
1. โรคไข้เหลือง (Yellow fever)
เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่
ในพื้นที่เขตร้อนแถบแอฟริกาและอเมริกาที่มีไข้เหลืองเป็นโรคประจำถิ่น
เคยมีการระบาดเกิดขึ้นในยุโรป หมู่เกาะแคริบเบียน อเมริกาเหนือ
และอเมริกากลาง ยังไม่เคยมีรายงานพบโรคนี้ในประเทศไทยรวมถึงประเทศอื่นๆ
ในทวีปเอเชีย แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากยุงและลิง
ส่วนอาการที่ปรากฏ จากการเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดเฉียบพลัน
จึงมีระยะเวลาป่วยสั้นและมีความรุนแรงของโรคที่หลากหลาย อาการของโรคคือ
จะมีไข้ทันทีทันใด หนาวสั่น ปวดศีรษะ อาเจียน
ชีพจรอาจเต้นช้าลงและเบาตามสัดส่วนอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น
ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ปรากฏในช่วงต้นของอาการ และเกิดขึ้นในวันที่ 5
อาการดีซ่านและไข้เลือดออก รวมทั้งเลือดกำเดาไหล มีเลือดออกจากเหงือก
อาเจียนเป็นเลือดสดลักษณะเลือดเก่าคล้ายสีกาแฟ
และถ่ายอุจจาระเป็นสีดำเหนียว และมีกลิ่นเหม็นคาว เอนไซม์ในตับเพิ่มขึ้น
ความผิดปกติของปัจจัยการแข็งตัวของเลือดพบไข่ขาวในปัสสาวะ และปัสสาวะน้อย
เป็นผลจากความล้มเหลวของตับและไต อัตราการตายโดยรวมเท่ากับร้อยละ 20-50
ระยะฟักตัวของโรค เพียง 3-6 วัน
สำหรับการแพร่ติดต่อโรคนั้น ติดต่อโดยการถูกยุงที่มีเชื้อกัด
ยุงลายที่ดูดเลือดเข้าไปแล้วไวรัสจะใช้เวลาฟักตัว 9-12 วัน ในเขตอากาศร้อน
และเมื่อติดเชื้อแล้ว เชื้อจะอยู่ในตัวยุงตลอดชีวิตของยุงนั้น
โรคไม่ติดต่อโดยการสัมผัสหรือจับต้องสิ่งของ
การระบาดอาจเกิดขึ้นเมื่อนักท่องเที่ยวที่ติดเชื้อเข้าไปแพร่เชื้อใน
ชุมชนที่มีประชากรอยู่หนาแน่น ยุงลายตามบ้านจะเป็นพาหะนำเชื้อจากคนสู่คน
การระบาดรูปแบบนี้จะทำให้เกิดการแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้
การป้องกันโรค :
การฉีดวัคซีนเป็นมาตรการเดียวที่สำคัญที่สุดในการป้องกันไข้เหลือง
ในพื้นที่ที่มีความครอบคลุมของวัคซีนต่ำจะต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
และมีการควบคุมโรคที่รวดเร็ว
มาตรการกำจัดยุงยังจำเป็นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสจนกว่าจะมีการฉีด
วัคซีนได้ครอบคลุม
2. โรคกาฬโรค (Plague)
ประเทศไทยปลอดจากโรคนี้ตั้งแต่ปี 2495
ในอดีตกาฬโรคเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่ร้ายแรงที่ได้ทำลายชีวิตผู้คน
ทั่วโลกเป็นจำนวนมาก แต่จากความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข
โดยเฉพาะการพัฒนาระบบเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง
และการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราป่วยและอัตราตายจากกาฬโรคลดลง
อย่างไรก็ตาม
ขณะที่กาฬโรคของคนในเขตเมืองเกือบทั่วโลกถูกควบคุมได้หมดแล้ว
แต่การระบาดก็ยังเกิดขึ้นหลายประเทศในแอฟริกา ได้แก่ แองโกลา บอตสวานา
เคนยา มาดากัสการ์ นามิเบีย แอฟริกาใต้ มาลาวี โมซัมบิก แทนซาเนีย ยูกันดา
ซิมบับเว ซาอีร์ และลิเบีย
กาฬโรคยังเป็นโรคประจำถิ่นในประเทศจีน อินโดนีเซีย มองโกเลีย พม่า
อินเดีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเวียดนาม
ซึ่งมีรายงานผู้ป่วยกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองปีละนับพันราย
ทั้งจากในเมืองและชนบท ส่วนกาฬโรคปอดบวมมีรายงานประปรายระหว่างปี พ.ศ.
2505-2515 ในปี พ.ศ. 2537 มีการระบาดของกาฬโรคปอดบวมปฐมภูมิในเมืองสุรัต
แคว้นกุจารัต ประเทศอินเดีย สำหรับทวีปอเมริกามีแหล่งรังโรคอยู่ที่บราซิล
และเขตแอนดีน (เปรูและโบลิเวีย) ทำให้เกิดโรคประปราย
และการระบาดเป็นครั้งคราว
โดยโรคนี้ เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonosis)
ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ฟันแทะและหมัด
ซึ่งแพร่เชื้อแบคทีเรียไปยังสัตว์อื่นอีกหลายชนิดรวมทั้งคน
อาการแสดงเริ่มแรกจะยังไม่จำเพาะ คือ มีไข้หนาวสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัว
ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียน ไม่มีเรี่ยวแรง เจ็บคอ และปวดหัว
สำหรับระยะฟักตัวอยู่ระหว่าง 1-7 วัน หรืออาจจะนานกว่านั้นสัก 2-3 วัน
ในคนที่มีภูมิต้านทานแล้ว แต่สำหรับกาฬโรคปอดบวมปกติจะสั้นมาก 2-4 วัน
ในการแพร่ติดต่อโรคนั้นถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น
อุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม
เชื้อกาฬโรคในหมัดจะติดต่อไปยังที่อื่นได้นานนับเดือน
กาฬโรคต่อมน้ำเหลืองไม่ติดต่อโดยตรงจากคนสู่คน
นอกจากจะสัมผัสถูกกับหนองจากฝีมะม่วง
กาฬโรคปอดบวมติดต่อได้ง่ายที่สุดถ้าอุณหภูมิอากาศเหมาะ
ฝูงชนที่แน่นหนาแออัดจะช่วยให้การแพร่ระบาดเกิดได้ง่าย
วิธีการป้องกันโรคต้องลดความเสี่ยงต่อการถูกหมัดติดเชื้อกัด
หลีกเลี่ยงการจับต้องสัมผัสกับเนื้อเยื่อหรือสารคัดหลั่งติดเชื้อ
หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยกาฬโรคปอดบวม
อีกทั้งป้องกันหนูในบริเวณบ้านไม่ให้เข้าไปทำรังหรือหาอาหาร โดยจัดเก็บเสบียงอาหารและจัดการกองขยะมูลฝอยให้ถูกสุขลักษณะ
3 .โรคโปลิโอ (Poliomyelitis) เคยมีในประเทศไทยเมื่อ
10 ปีก่อน แต่หายไปเพราะมีการให้วัคซีนอย่างครอบคลุม อย่างไรก็ตาม
โรคโปลิโอถือเป็นโรคที่ร้ายแรงเพราะเชื้อไวรัสโปลิโอจะทำให้มีการอักเสบของ
ไขสันหลัง และมีการอัมพาตของกล้ามเนื้อแขนขา
ในรายที่อาการรุนแรงจะทำให้มีความพิการตลอดชีวิต หรือเสียชีวิตได้
ปัจจุบันโรคโปลิโอเป็นโรคประจำถิ่นในแถบแอฟริกา ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน
โดยร้อยละ 5-10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการ โดยมีไข้และอาจมีอาการอ่อนเพลีย
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เจ็บคอ บางรายปวดศีรษะมาก
ปวดตามลำตัวและขา ร้อยละ1 ของผู้ติดเชื้ออาจมีอาการรุนแรง
โดยมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อตามมา หรือมีการอัมพาตของกล้ามเนื้อแขน ขา
ซึ่งทำให้เกิดความพิการ
ในรายที่รุนแรงมากอาจมีการอัมพาตของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ
ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้
ส่วนระยะฟักตัวของผู้ป่วยที่มีอาการอัมพาต อยู่ระหว่าง 1-2 สัปดาห์ แต่อาจนานถึง 5 สัปดาห์หรือสั้นเพียง 3-4 วันได้
ในการแพร่ติดต่อโรคนั้นเชื้อนี้จะอยู่ในลำไส้ของคนเท่านั้น
ไม่มีแหล่งรังโรคอื่นๆ
โดยเชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ในลำไส้ของคนที่ไม่มีภูมิต้านทานและอยู่
ภายในลำไส้ 1-2 เดือน การติดต่อที่สำคัญคือ
เชื้อที่ถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระเข้าสู่อีกคนหนึ่งโดยผ่านเข้าทางปาก
โดยเชื้อปนเปื้อนติดมือผ่านจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
และเข้าสู่ร่างกายเมื่อหยิบจับอาหารเข้าปาก
ในพื้นที่ที่มีอนามัยส่วนบุคคลและการสุขาภิบาลไม่ได้มาตรฐานจะพบโรคโปลิโอ
ได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
สำหรับการป้องกันโรคในเด็กทั่วไป การให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ (OPV)
นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยการให้วัคซีนป้องกัน 5 ครั้งเมื่ออายุ 2, 4, 6
และ 18 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4 ปี
และไปรับวัคซีนทุกครั้งที่มีการรณรงค์ให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ
นอกจากนั้นจะป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อโปลิโอได้ด้วยการ
กินอาหารและดื่มน้ำที่สะอาด ถ่ายอุจจาระลงส้วมที่ถูกสุขลักษณะทุกครั้ง
4. โรคไข้สมองอักเสบจากเชื้อไวรัสนิปาห์ (Hendra and
Nipah Viral Diseases) เป็นไวรัสที่ก่อโรคในสัตว์
ก่อโรคไข้สมองอักเสบเป็นหลัก ถูกค้นพบครั้งแรกในมาเลเซียช่วงปี 2541-2542
และพบในบังกลาเทศและอินเดียด้วย อย่างไรก็ดี
แม้จะไม่มีรายงานพบผู้ป่วยในไทย
แต่เคยมีการศึกษาสำรวจค้างคาวในบางจังหวัดทางภาคใต้ของไทยพบว่า
ค้างคาวแม่ไก่ร้อยละ 7 มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสนิปาห์
และพบสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสนิปาห์ในน้ำลายและปัสสาวะของค้างคาวแม่ไก่
ด้วย ดังนั้น
พื้นที่เสี่ยงทางภาคใต้จึงควรเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและป้องกันไม่
ให้โรคแพร่มายังสัตว์เลี้ยงตามมาตรการของกรมปศุสัตว์
อาการที่ปรากฏมีเพียงเล็กน้อยไปจนถึงมีอาการมาก โคม่า
และ/หรือระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิต รวมทั้งมีไข้สูง ปวดศีรษะ เจ็บคอ
วิงเวียน ซึม และสับสน หรืออาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และปอดอักเสบผิดปกติ
ในผู้ป่วยไวรัสนิปาห์จะมีอาการอักเสบของสมองเป็นส่วนใหญ่
อาจทำให้วินิจฉัยว่าเป็นไข้สมองอักเสบ ส่วนหนึ่งจะมีอาการแสดงของปอด
ผู้ป่วยทั้งหมดที่มีชีวิตรอดจากสมองอักเสบเฉียบพลันจะสามารถฟื้นตัวได้เป็น
ปกติ แต่มีประมาณร้อยละ 20 ที่พบร่องรอยความบกพร่องของระบบประสาท
อัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 40
และพบว่าในคนที่มีการติดเชื้อไวรัสบางรายไม่แสดงอาการ
ส่วนระยะฟักตัวของโรค ประมาณ 4-18 วัน บางรายอาจใช้เวลาหลายเดือน
และการแพร่ติดต่อโรค เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับหมู (ไวรัสนิปาห์)
หรือผลิตภัณฑ์จากหมูที่ติดเชื้อ
ในการป้องกันโรคนั้นผู้ทำงานปศุสัตว์ควรสวมชุดป้องกัน รองเท้าบูต หมวก
ถุงมือ แว่นตา กระจังบังหน้า
ล้างตัวและมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนออกจากฟาร์ม,
เผาทำลายซากม้าและหมูที่ติดเชื้อ โดยการควบคุมดูแลของหน่วยงานรัฐ,
ห้ามขนย้ายสัตว์ออกจากบริเวณที่มีการระบาดของโรค,
แยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อหากปรากฏการแพร่เชื้อจากคนสู่คน
โดยทั้ง 4 โรคระบาดที่มากับนักเดินทางนั้น กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข
ได้เฝ้าระวังและป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในประเทศไทยได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ
PG&P
สโนว์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI
คลิปตัวอย่าง PG&P
FEED PG&P