น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

ชุดชั้นในเปียก บ่อเกิดโรค

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

QA: ชุดชั้นในเปียก อับชื้น คันคะเยอ บ่อเกิดโรค?

Question ชุดชั้นในอับชื้นจากฝน บ่อเกิดโรคอะไรได้บ้างคะ?

Answer โดย นพ.ก้องศาสดิ์ ดีนิรันดร์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1

ชุดชั้นในเปียก อับชื้น บ่อเกิดโรค

"ผมว่าช่วงหน้าฝนหลายคนคงรู้สึกมีความสุขอากาศเย็นสบาย เพราะมีความชื้นในอากาศสูง ไม่ร้อน แต่บางคนก็กลับรู้สึกรำคาญเพราะเป็นอุปสรรคในการเดินทางไปไหนมาไหน เฉอะแฉะ รถติด เปียกชื้น ซักผ้าก็แห้งยาก ผู้ชายไม่เท่าไหร่ แต่ผู้หญิงนี่ซิครับ

โดยเฉพาะชุดชั้นในของคุณผู้หญิง ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่เรียกว่าใกล้ตัวผู้หญิงมากที่สุด หากไม่สะอาด หรือเปียกชื้น อับ จะก่อเกิดโรคหรืออาการอะไรกับสาวๆ ได้บ้างล่ะ

อย่างแรกเลยคือ โรคผิวหนัง ซึ่งมาจากเชื้อราในฟองน้ำ เพราะแฟชั่นเสื้อชั้นในแบบเสริมฟองน้ำเป็นที่นิยมมาก ในหน้าฝนฟองน้ำอาจจะแห้งสนิทยาก เช่น ข้างนอกแห้ง แต่ข้างในยังชื้น ทำให้เชื้อราจะแบ่งตัวได้ดี เมื่อสวมใส่จะก่อให้เกิดอาการคันเป็นผดผื่นบนผิวหนังได้

ส่วนกางเกงชั้นในที่อับชื้น จะก่อให้เกิดชื้อราที่ทำให้มีอาการคันในช่องคลอดได้ เชื้อที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของช่องคลอดที่พบบ่อยที่สุด คือ แคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งโดยปกติเป็นเชื้อที่อยู่ในช่องคลอดโดยไม่ทำให้เกิดโรค แต่หากใส่ชุดชั้นในที่อับชื้นเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้เชื้อรามีปริมาณมากขึ้นจนก่อโรค ลองสังเกตดูว่า มักจะมีตกขาวออกมาร่วมกับมีอาการคันช่องคลอด

ทว่าชุดชั้นในที่อับชื้นไม่แห้ง จะกลายเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อแบคทีเรีย เมื่อสวมใส่จะเกิดเหงื่อไคล คือ โปรตีน ไขมัน และอุณหภูมิเหมาะสม แบคทีเรียจะย่อยสลายคราบไคล ซึ่งจะทำให้เกิดกลิ่นอับเหม็นติดตัวไปทั้งวัน

อีกทั้งชุดชั้นในที่เล็กเกินไปจะมีการเสียดสีหรือกดทับกับผิวโดยที่เรา อาจไม่สังเกตเป็นเวลานาน เมื่อบวกกับความชื้นของชุดชั้นใน และอาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อบริเวณผิวหนังที่แผลถลอกได้ เช่น บริเวณสีข้าง บริเวณขอบยาง เป็นต้น

ส่วนการป้องกันนั้น ควรหลีกเลี่ยงการเลือกใส่ชุดชั้นในที่แน่นคับเกินไป ทำให้การระบายอากาศไม่ดี และควรเลือกเนื้อผ้าที่สามารถระบายอากาศได้ดีไม่อุ้มน้ำ ไม่หนาหนัก เช่น ผ้าฝ้าย และหมั่นตรวจดูชุดชั้นในอยู่เสมอว่ามีจุดเล็กๆ หรือมีรอยของเชื้อโรคหรือไม่ หากมีควรทิ้งทันที ไม่ควรเสียดาย ที่สำคัญควรซักชุดชั้นในให้สะอาดและแห้ง พยายามให้โดนแดดบ้างหรือผึ่งให้แห้งในที่ระบายอากาศได้ดี

หลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงชั้นในที่อับชื้น หรือเปียกเป็นเวลานาน หากรู้ล่วงหน้าว่าอาจจะเปียกฝน ควรเตรียมไปเผื่อไว้อีก 1 ตัว และเมื่อมีโอกาสควรเปลี่ยนใส่ตัวใหม่ที่แห้งสะอาด

และในกรณีที่อยู่ระหว่างการมีรอบเดือนแล้วเปียกฝน ก็ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทันที หรืออาจเลือกใช้ผ้าอนามัยแบบสอด ซึ่งสามารถจะช่วยให้คุณรู้สึกแห้งสบายไม่เหนอะหนะ

ในกรณีที่มีผื่นคันบริเวณผิวหนัง อวัยวะเพศที่สัมผัสกับชุดชั้นใน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยามาทาหรือซื้อยามารับประทานเอง เพราะถ้าไม่หาย กว่าจะมาพบแพทย์อาการอาจลุกลามมากขึ้นและใช้เวลาในการรักษานานขึ้นครับ"







ที่มา :หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ โดยLady Manager

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ปรับโภชนาการสมดุลเด็กขาดสารอาหาร

นักโภชนาการ ชี้ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็กกำลังน่าเป็นห่วงเพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้หลายครอบครัวต้องซื้ออาหารจานด่วน

ปรับโภชนาการสมดุลเด็กกขาดสารอาหาร

ทั้งที่มีอาหารที่มีประโยชน์มากมายวางจำหน่ายในท้องตลาด แต่เด็กไทยหลายคนก็ยังบริโภคอาหารไม่สมดุล ดร.ภญ.มาลิน จุลศิริ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คณะเภสัชกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิด เผยว่า ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็กวัยซนกำลังน่าเป็นห่วงเพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ทำให้หลายครอบครัวต้องซื้ออาหารจานด่วน ซึ่งส่วนใหญ่ขาดความสมดุลทางโภชนาการ โดยเด็กจำนวนไม่น้อยนิยมบริโภคขนมและดื่มน้ำอัดลมจนติดเป็นนิสัย จากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเด็กไทยใช้เงินซื้อขนมเฉลี่ยคนละ 9,800บาทต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาที่จ่ายเพียงคนละ 3,024บาทต่อปี

"พฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง มักเริ่มตั้งแต่วัยก่อนเรียนคือ 4-5ขวบ พอถึง 6ขวบเด็กจะติดเป็นนิสัย และยิ่งโตขึ้นคุณพ่อคุณแม่ยิ่งมีความยากลำบากในการดูแลเด็ก ทำให้บ่อยครั้งเด็กเกิดปัญหาขาดสารอาหารที่จำเป็น ขณะเดียวกัน เกิดปัญหาของโรคอ้วน ในช่วง 10ปีที่ผ่านมา อุบัติการณ์โรคอ้วนในเด็กไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและตามสถิติดูเหมือนเร็ว ที่สุดในโลก และภายในช่วงระยะเวลา 5ปีที่ผ่านมา ยังพบว่าเด็กไทยมีเชาวน์ปัญญาโดยเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ระดับ 90มีมากถึง 1ใน 4หรือร้อยละ 25"

ดร.ภญ.มาลินบอกอีกว่า การเกิดปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก ถ้าปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยไม่รีบแก้ไขจะส่งผลต่อสุขภาพ ของเด็กเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ โดยจะเกิดปัญหาของโรคเรื้อรังง่ายขึ้น เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อม เป็นต้น

"ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก แก้ไขไม่ยากเพียงแต่ปฏิบัติการด้วยวิธีการง่ายๆ ด้วยการให้เด็กบริโภคอาหารที่เหมาะสมทุกวันโดยเฉพาะอาหารมื้อเช้าให้บริโภค อาหารที่มีคุณค่าและในปริมาณที่เพียงพอ ถ้าไม่แน่ใจว่าเด็กจะบริโภคอาหารได้อย่างสมดุลทั้งในด้านคุณค่าสารอาหารและ ปริมาณสารอาหารการให้เด็กบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มเติม เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กมีโอกาสได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการ พัฒนา การได้"

สิ่งไหนที่มากไปก็ไม่ดี สิ่งไหนที่น้อยไปก็ไม่ดี ที่ดีที่สุดคือ เดินทางสายกลาง







ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

นอนกรน...สัญญาณอันตราย

การนอนกรน อาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป เพราะปัญหาเรื่องการนอนกรนนอกจากจะสร้างความรำคาญต่อคนนอนข้างๆ แล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อระบบหายใจและอาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ กระทั่งส่งผลเสียกับอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้อย่างเรื้อรัง

นอนกรน...สัญญาณอันตราย

ทั้งนี้มีงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา โดย นายแพทย์ Jiang He และคณะ พบว่าคนเป็นโรคนอนกรนที่มีการหยุดหายใจมากกว่า 20 ครั้งต่อชั่วโมง มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าคนปกติ และจากการศึกษาพบว่าประมาณ ร้อยละ 85 ของผู้ป่วยเป็นเพศชาย และเพศชายมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศหญิงด้วยอัตราส่วน 7:1แต่เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนเพศหญิง จะมีโอกาสเป็นมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าฮอร์โมนเพศจะมีผลต่อโรคนี้ได้

รศ.นพ.ประกอบเกียรติ หิรัญวิวัฒน์กุล จากภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าว ว่า "การนอนกรน แบ่งได้ 2ชนิด คือ การนอนกรนชนิดไม่อันตราย (Simple snoring) และการนอนกรนชนิดอันตราย (Obstructive sleep apnea หรือ OSA) ซึ่งคนที่นอนกรนชนิดไม่อันตราย มักจะมีอาการนอนกรนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงกรนอาจดังหรือค่อยขึ้นอยู่กับว่าเกิดจากบริเวณใด ถ้าเกิดเพราะมีเพดานอ่อนหย่อนหรือลิ้นไก่ยาวมักทำให้กรนเสียงดังมาก โดยเฉพาะเวลานอนหงาย แต่ถ้ากรนจากการตึงแคบบริเวณโคนลิ้น เสียงมักเบาเหมือนหายใจแรงๆ"  ดังนั้น ความดังของเสียงกรนจึง ไม่ได้บอกว่าอันตรายหรือไม่ แต่ถ้ามีอาการหายใจสะดุด หยุดหายใจเหมือนคนหายใจไม่ออก หรือสำลัก อันนี้ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งมักพบในอาการนอนกรนชนิดอันตราย

อาการของโรคนอนกรนชนิดอันตราย นอกจากจะกรนเสียงดัง มีอาการคล้ายสำลักหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก ต้องลุกไปถ่ายปัสสาวะตอนกลางดึกแล้ว สมองจะรู้สึกตื้อ คิดอะไรไม่ออกเพราะง่วงนอน ขี้ลืม ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน ตื่นขึ้นมาด้วยอาการอ่อนล้า ไม่สดชื่น หรือปวดศีรษะ และต้องการนอนต่ออีกทั้งที่ไม่ได้นอนดึก บางคนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย อาทิ จุกแน่นคอเหมือนมีอะไรติดคอ หูอื้อ หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห รวมทั้งมีความรู้สึกทางเพศลดลง

คนที่เป็นโรคนอนกรนชนิดอันตราย เมื่อยังหลับไม่สนิทอาจจะเป็นเพียงกรนปกติ แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ มีลักษณะของการกลั้นหายใจ ตามด้วยการสะดุ้งหรือสำลักน้ำลาย หรือหายใจอย่างแรงเหมือนขาดอากาศ อาจเกิดขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยครั้งต่อคืน ซึ่งในขณะที่มีการหยุดหายใจ ออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ หลอดเลือด ปอด และสมอง

ต่อมาเมื่อออกซิเจนในเลือดแดงลดต่ำลงมากจนถึงจุดอันตราย ร่วมกับมีการหายใจที่แรงมาก จนต้องใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจเพื่อพยายามให้ลมหายใจสามารถผ่านตำแหน่ง ที่ตีบตันไปให้ได้ ภาวะนี้จะกระตุ้นให้สมองที่กำลังหลับสนิทอยู่ต้องตื่นขึ้นมา ทางเดินหายใจจะถูกเปิดขึ้น และทำให้ออกซิเจนสามารถผ่านเข้าไปในปอดได้อีก ตอนนี้เองออกซิเจนในเลือดแดงจะกลับมาสูงขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน สมองจะเริ่มหลับอีก การหายใจก็จะเริ่มขัดข้องอีกครั้ง วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ไปตลอดคืน ทุกคืน ส่งผลให้สมรรถภาพการนอนหลับเสียไป เนื่องจากมีช่วงเวลาของการนอนหลับสนิทน้อยเกินไป ผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด สมอง และปอด จนทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม

การรักษาโรคการนอนกรน ในปัจจุบันมีหลายวิธีด้วยกัน คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาทิ ลดความอ้วน เพราะจากการสำรวจพบว่า เมื่อน้ำหนักลดลง 10%อัตราการหยุดหายใจก็จะลดลงด้วย ช่วยให้การหายใจดีขึ้น การแลกเปลี่ยนออกซิเจนสะดวกขึ้น ซึ่งการลดความอ้วนนั้น ไม่ควรรับประทานยาลดความอ้วน เพราะจะมีผลมากมาย เช่น ทำให้ใจสั่น และเมื่อหยุดยาก็จะกลับมาอ้วนใหม่ แต่ควรปรับเรื่องพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายอย่างเป็นกิจวัตร จะส่งผลดีที่สุด

หลีกเลี่ยงการนอนหงายโดยให้นอนท่าตะแคง เพราะจะช่วยให้หลับดีขึ้น เนื่องจากการนอนหงายจะทำให้ลิ้นตกไปด้านหลังชิดกับ ผนังช่องคอด้านหลัง ทำให้เกิดการอุดตันได้มาก ส่วนการนอนตะแคงจะทำให้ลิ้นไม่ตกไปที่คอด้านหลังมากเกินไป และสามารถช่วยลดอาการกรนได้บ้าง

งดการดื่มสุราเพราะการดื่มสุราจะยิ่งทำให้มีอาการกรน และหยุดหายใจมากยิ่งขึ้น เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้เกิดการยุบตัวของทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้นและกดสมอง ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อออกซิเจนในเลือดช้า กว่าเดิม นอกจากนี้ยังต้องงดสูบบุหรี่ หรือทำงานหนัก รวมทั้งงดยาบางประเภท เช่น ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ เพราะยากลุ่มนี้ มีผลต่อการหายใจขณะหลับ

ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคกรนชนิด อันตรายไม่รุนแรง มักนิยมใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ครอบฟันบนและล่าง ทำหน้าที่ยึดขากรรไกรอันล่างให้เลื่อนไปด้านหน้า อุปกรณ์ชนิดนี้จะช่วยให้การหายใจดีขึ้น และมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด

การใช้เครื่องช่วยหายใจ (CPAP)จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมี อาการนอนกรนชนิดรุนแรงมาก เครื่องชนิดนี้จะปล่อยแรงดันบวก และทำให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วย หลับสบาย ซึ่งปัจจุบันการรักษาด้วยเครื่อง CPAP นับว่าได้ผลดี แต่ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถใช้เครื่อง CPAP ได้ แพทย์อาจแนะนำให้แก้ไขความผิดปกติด้วยการผ่าตัด

การรักษาโดยการผ่าตัดจะช่วยแก้ไขปัญหาทางเดินหายใจที่ อุดตันขณะหลับ โดยผู้ป่วยควรได้รับการตรวจการนอนหลับ เพื่อยืนยันว่าเป็นอันตรายมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการผ่าตัดก็จะแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของผู้ป่วย

เช่น การผ่าตัดบริเวณเพดานอ่อน การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ออก การผ่าตัดเพดานอ่อนโดยเลเซอร์ การผ่าตัดฝังพิลลาร์ การใช้คลื่นวิทยุ การผ่าตัดโพรงจมูก การผ่าตัดเลื่อนคางเพื่อดึงกล้ามเนื้อลิ้นมาด้านหน้า การผ่าตัดเลื่อนขากรรไกรบนและล่างมาด้านหน้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการตรวจด้วยกล้องส่องตรวจในขณะนอนหลับช่วยระบุตำแหน่งที่ผิด ปกติ เพื่อให้การผ่าตัดแก้ไขมีประสิทธิภาพและยังช่วยลดการผ่าตัดที่ไม่จำเป็นได้ อีกด้วย

ปัญหาการนอนกรน ที่ใครบางคนอาจ มองแค่น่ารำคาญ หากปล่อยไว้อาจเป็นอันตราย ถึงชีวิต ดังนั้นหากใครกำลังประสบปัญหานี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อแก้ไขก่อนสายเกินไป







ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

แพทย์เตือนเด็กเพ่งสื่อออนไลน์มาก ระวังคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

แพทย์เตือนเด็กเพ่งสื่อออนไลน์มาก ระวังคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

แพทย์เตือนเด็กเพ่งสื่อออนไลน์มาก ระวังคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเปิด เผยว่า ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตนับเป็นสื่อที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน เป็นกลุ่มหลักในการใช้สื่อออนไลน์ เพราะสามารถเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้จากทุกมุมโลก แต่ปัญหาคือ หากใช้สื่อเหล่านี้มากเกินไปย่อมส่งผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome) เกิดจากการพฤติกรรมการใช้เป็นเวลานาน และมองจอใกล้เกินกว่าครึ่งฟุต ทำให้ต้องใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตาและประสาทตาในลักษณะเพ่งจอตลอดเวลา ก่อให้เกิดอาการดวงตาตึงเครียด ตาล้า ตาช้ำ ตาแดง แสบตา มองภาพได้ไม่ชัดเจน และมักจะเกิดอาการปวดศีรษะตามมา และยังมีโอกาสสายตาสั้นเพิ่มร้อยละ 30 ข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จะมีอายุระหว่าง 10-15 ปี มีปัญหาสายตาสั้นมากที่สุด

นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า ปัญหาสายตาสั้น ดวงตาตึงเครียด เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กวัยเรียนมาก ทำให้มองไม่เห็นกระดานเรียนหน้าชั้น และยังส่งผลต่อการทำงานบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่น นักบิน ตำรวจ ทหาร ตัวเลขผู้ใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันก็ยิ่งสูงขึ้น

"ข้อแนะนำไม่ควรเล่นเกินวันละ 1 ชั่วโมง ไม่ควรเล่นในห้องมืด ควรปรับความสว่างให้มีความพอดีเท่ากับความสว่างของห้อง แสงไฟไม่ควรส่องจากด้านหลังเข้าหาจอ ปรับความคมชัดของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับที่รู้สึกว่าสบายตา และหากเป็นจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ควรใช้แผ่นกรองแสงและดูแลทำความสะอาดหน้าจอไม่ให้มีฝุ่นเกาะติดเพื่อให้มอง เห็นชัดเจน" จักษุแพทย์กล่าว







ที่มา :หนังสือพิมพ์มติชน  


PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เคล็ด (ไม่ลับ) คุณแม่ตั้งครรภ์

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แม่สวย ช่วยลูกสุขภาพดี 

 
       ช่วง เวลาตั้งครรรภ์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเพศหญิง ไม่ว่าจะเรื่องฮอร์โมน ร่างกาย และจิตใจ สิ่งเหล่านี้ ล้วนสร้างความหงุดหงิด รำคาญใจ จนทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย เมื่อมีใครมาขัดใจ หรือไม่ตามใจในสิ่งที่ต้องการ
      
       ด้าน รูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปก็เช่นกัน สร้างความไม่พอใจ และความไม่มั่นใจให้กับว่าที่คุณแม่เป็นอย่างมาก เนื่องจากกลัวว่า สามีจะไม่รัก หรือไม่อยากเข้าใกล้ เพราะด้วยสรีระที่อ้วน ผิวหมองคล้ำ และมีขี้ไคลตามรอยพับในจุดต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งบางรายอาจมีสิวร่วมด้วย
       
       แต่ในเรื่องดังกล่าวนี้ นพ.วรชัย ชื่นชมพูนุท สูติ นรีแพทย์ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลับมองว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงขณะตั้งครรภ์ เพราะเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งถ้ารู้จักดูแล และเอาใจใส่ ความสวยขณะตั้งครรภ์ก็สามารถทำได้ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น มีฝ้า และผิวคล้ำ มีขี้ไคลตามคอ หรือข้อพับ และหน้ามันเป็นสิว ก็จะหายไปเองหลังการคลอดผ่านไปสักประมาณ 1 - 2 เดือน
       
       ถึงร่างกายจะเปลี่ยนไป แต่คุณแม่ก็สวยได้
      
       นพ.วรชัย อธิบายกับทีมงานว่า ช่วงตั้งครรภ์จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือช่วง 3 เดือนแรก ซึ่งช่วงนี้จะมีอาการเสี่ยงต่อการแท้งได้สูง จึงต้องระวังให้มากที่สุด รวมทั้งจะมีอาการแพ้ท้อง แต่ในบางคนอาจจะไม่มีอาการ หากคุณแม่ที่มีอาการดังกล่าว คุณหมอแนะนำว่า ไม่ควรกินอาหารมากเกินไป แต่ต้องกระจายการกิน ไม่ควรกินมื้อใหญ่
      
       นอกจาก นี้การกินขิงจะช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ดี หรืออาหารที่ย่อยง่าย อย่างเช่น ขนมปังปิ้ง น้ำเต้าหู้ ส่วนอารมณ์ในช่วงนี้จะมีความแปรปรวน หงุดหงิด โมโหง่าย และขี้ใจน้อย จึงอยากได้รับความใส่ใจจากสามี และครอบครัว รวมไปถึงญาติพี่น้อง ทั้งนี้ยังมีภาวะของสิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ทางที่ดี ไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้ง เพราะจะทำให้หน้ามันเร็ว นำไปสู่การเกิดสิวได้ ควรล้างวันละ 1-2 ครั้งก็พอ
       
       ช่วงต่อมาคือ ระยะ 3 เดือนที่สอง ช่วงนี้คุณแม่จะมีความกังวลเรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น คุณหมอแนะว่า ต้องควบคุมการกิน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ส่วนผิวจะคล้ำขึ้น ดังนั้น ควรใส่เสื้อผ้าที่ปกปิด และทาซันบล็อกเมื่อต้องออกแดด
       
       สำหรับผม ช่วงนี้ จะมีลักษณะเป็นลอนๆ มันๆ (ในบางคนเท่านั้น) ควรใช้ครีมนวดผม และกินอาหารที่มีสังกะสี เพราะเป็นแร่ธาตุที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเส้นผมเพื่อให้เส้นผมแข็งแรง ซึ่งพบได้ในนม และผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ ไข่ และอาหารทะเล นอกจากนี้คุณแม่มักจะมีอาการท้องผูกร่วมด้วย ควรทานน้ำ และผักผลไม้ให้มาก เพราะจะมีเส้นใยช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น ลดการกินชา กาแฟ เนื่องจากทำให้ท้องผูก และเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้ ถ้าเป็นแล้วจะหายยาก

 

       การเปลี่ยนแปลงร่างกายทุกๆ 3 เดือนขณะตั้งครรภ์

      การเปลี่ยนแปลงร่างกายทุกๆ 3 เดือนขณะตั้งครรภ์ และระยะ 3 เดือนสุดท้าย คุณแม่จะมีความกังวลเรื่องรอยแตกลายบริเวณท้อง ทางแก้ก็คือ ต้องควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้มากจนเกินไป และใช้ Moisturizer ทาเป็นประจำ

      อย่างไร ก็ดี คุณหมอให้เคล็ดว่าสิ่งที่จะช่วยลดรอยแตกลายบริเวณหน้าท้องได้นั้น ต้องเริ่มจากการออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อท้องแข็งแรงตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพราะจะช่วยดันทรงของท้องได้ดีขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น สังเกตได้จากผู้หญิงต่างประเทศ มักจะออกกำลังกายทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เวลาตั้งครรภ์ ท้องจึงไม่ค่อยแตกลาย เพราะกล้ามเนื้อท้องขยายตัว และยืดหยุ่นได้ดี
       
       ที่ สำคัญ ช่วงนี้คุณแม่จะเกิดความกังวลในการคลอด เช่น กลัวคลอดยาก กลัวตกเลือด กลัวว่าลูกจะพิการ เป็นต้น ทางที่ดีจึงควรปรึกษาแพทย์ จะทำให้สบายใจขึ้น อย่าไปเชื่อข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว รวมถึงจะมีอาการบวมของท้องมากขึ้น ถ้ามีอาการบวมมากเกินปกติ รวมทั้งมีโปรตีน หรือไข่ขาวออกจากช่องปัสสาวะ คุณหมอแนะว่าให้กินมะนาว และแตงกวา จะช่วยขับปัสสาวะ ลดการบวมได้ ขณะเดียวกันไม่ควรทานอาหารที่เค็มเกินไป ลดการยืนนานๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และไม่หักโหม
      
       น้ำหนักตัวแค่ไหนถึงจะดี
      
       น้ำหนักถือเป็นเรื่องสำคัญของคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งก่อนตั้งครรภ์ ต้องควบคุมน้ำหนักให้ดี ไม่ผอม หรืออ้วนจนเกินไป คุณหมอจึงให้คำแนะนำว่า การจะดูว่าน้ำหนักเหมาะสมหรือไม่นั้น คำนวณได้จาก ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) หรือ BMI เพื่อประเมินว่าร่างกายอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ โดยใช้สูตรคำนวณดังนี้

       เช่น ถ้าคุณหนัก 55 กก. สูง 160 ซม. ต้องคิดเป็น 1.60 เมตรก่อน แล้วจึงจะเอาไปคำนวณ โดยเอา 1.60 x 1.60 คิดได้เป็น 2.56 จากนั้นเอาน้ำหนักคือ 55 ตั้ง แล้วหารด้วยค่าที่ได้จากส่วนสูงคือ 2.56 ดังนั้น BMI ก็จะเท่ากับ 21.5 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์สมส่วน เพราะมีค่าตามเกณฑ์ปกติคือ 20 - 25.9 แต่ถ้าต่ำกว่านี้ถือว่าผอม เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย แต่ถ้าน้ำหนักมากเกินไป อาจเสี่ยงต่อความดันเลือดสูง เบาหวาน รกผิดปกติ และส่งผลต่อลูกในท้องได้
      
       อย่างไรก็ดีเมื่อตั้งครรภ์น้ำหนักตัวของคุณแม่จะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 12 กก. และเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ และคุมน้ำหนักได้อย่างเหมาะสม คุณหมอจึงได้แสดงตารางเปรียบเทียบน้ำหนักที่ควรเพิ่มขณะตั้งครรภ์ โดยใช้เกณฑ์คำนวณจากดัชนีมวลกาย ดังนี้

       รู้จักกิน - สร้างสุขภาพครรภ์ดี
      
       นอกจาก การดูแลน้ำหนักตัวแล้ว คุณหมอบอกต่อว่า คุณแม่ต้องมีโภชนาการด้านการกินที่ดี และเหมาะสมด้วย ซึ่งเรื่องของสารอาหารถือเป็นเรื่องสำคัญ และจะขาดไม่ได้เลย เพราะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกในท้องให้มีสุขภาพดี และแข็งแรง โดยคุณแม่ต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เช่น โปรตีน ช่วยในการเจริญเติบโตของลูกน้อย ไอโอดีน ช่วยพัฒนาสมอง และกล้ามเนื้อของลูกให้เป็นไปตามปกติ พบได้จากอาหารทะเล และเกลือเสริมไอโอดีน
      
       คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องกินธาตุเหล็กเพิ่มเป็น 2 เท่า เพราะเมื่อตั้งครรภ์ ร่างกายจะสร้างปริมาณน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้น และพยายามสร้างเม็ดเลือดตามมา เพื่อรับรองกับการเสียเลือดขณะคลอด ดังนั้นเหล็กจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงได้อย่างพอเพียง ถ้าเกิดเหล็กน้อยเกินไป ร่างกายจะซีด เวลาคลอดทำให้ตกเลือดได้ง่าย ซึ่งหาพบได้ในผักใบเขียว โดยเฉพาะมะเขือพวงจะมีเหล็กเยอะมาก หรือพบในเนื้อสัตว์ เป็นต้นคุณหมออธิบาย

       ขณะที่กรดโฟลิก คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องได้รับเพิ่มเป็น 2 เท่าเช่นกัน โดยเฉพาะ 3 เดือนแรก หรือ ก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งมีผลวิจัยออกมาชัดเจนว่า กรดโฟลิกจะช่วยลดความพิการของสมอง หรือกะโหลกศีรษะของลูกน้อยได้ ซึ่งถ้าครอบครัวใดมีประวัติการเป็นโรคดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับสารอาหารตัวนี้อย่างเพียงพอ ส่วนบ้านไหนที่ไม่มีประวัติ จะช่วยลดการเป็นโรคได้ถึง 70 เปอร์เซ็น ซึ่ง กรดตัวนี้พบได้ในผักใบเขียว ตับ เป็ด ไข่แดง ซึ่งมีความจำเป็นต่อการแบ่งเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์สมองของลูกน้อย ทางที่ดีควรกินตั้งก่อนตั้งครรภ์
      
       ส่วนคาร์โบไฮเดรทต้องกินอย่างน้อย 20 ส่วนต่อวัน ถ้าคุณแม่ที่เป็นเบาหวาน จะต้องลดลงเหลือ 16 ส่วนต่อวัน วิธีการนับคือ ข้าว 1 ทัพพี เท่ากับ 2 ส่วน ปกติคนเรากินข้าว 2 ทัพพี 1 มื้อจึงเท่ากับ 4 ส่วน 3 มื้อ 12 ส่วน เหลือของว่างให้กินอีก 8 ส่วน ไม่ว่าจะเป็น นม 1 กล่องคือ 1 ส่วน ไข่ 1 ฟอง 1 ส่วน ขนมปัง 1 แผ่น 1 ส่วน ส่วนผลไม้ เช่น ทุเรียน 1 เม็ดเท่ากับ 1 ส่วน ส้ม 1 ลูกเท่ากับ 1 ส่วน มะม่วงครึ่งลูกเท่ากับ 1 ส่วน ลิ้นจี่/ลำไย 4 ลูกเท่ากับ 4 ส่วน หรือส้ม 1 ลูกเท่ากับ 1 ส่วน เป็นต้น

       การ กินที่ไม่ทำให้น้ำตาลขึ้นเร็วเกินไปนั้น ต้องเคี้ยวช้าๆ เนื่องจากสมองจะตอบสนองความอิ่มจากน้ำตาล ถ้ากินเร็วจะรู้สึกอิ่มช้า เพราะสมองตอบรับสภาพน้ำตาลไม่ทัน สำหรับการกินช้าๆ จะช่วยให้การย่อยดี ลูกในครรภ์ก็จะแข็งแรง และมีสุขภาพที่ดีจากการคุมอาหารของคุณแม่เองด้วย คุณหมออธิบาย
      
       กินแล้วอย่านอน ออกกำลังกายกันดีกว่า
  
    
       กับเรื่องนี้ คุณหมอบอกว่า คนไทยส่วนใหญ่ออกกำลังกายน้อยมาก หรือบางคนบอกว่าออกแล้ว ออกเต็มที่เลย แต่แค่วันละ 5 นาทีแล้วหยุด ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย ส่วนคนท้องก็สามารถออกกำลังกายได้เช่นกัน แต่ควรออกกำลังในลักษณะเบา อย่าออกแรงหนัก และอย่าออกแรงเร็ว ควรให้เวลากับการออกกำลังกายประมาณ 30 นาทีหรือมากกว่านั้น อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง เช่น เดินเบาๆ การยืด การเหยียดร่างกาย เล่นโยคะ การออกกำลังกายในน้ำ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และมีพลังในการเบ่งคลอดได้มากขึ้น
   
    
       อย่างไรก็ตาม คุณหมอแนะนำว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ควรออกกำลังกายของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานบ่อยๆ เพราะการออกกำลังกายในส่วนนี้จะช่วยให้ช่องคลอดขยายตัวได้ง่ายขึ้น ลดการฉีกขาดของฝีเย็บ ลดอาการปัสสาวะเล็ด ซึ่งกล้ามเนื้อในส่วนนี้ประกอบด้วย 2 กลุ่มคือ มัดใหญ่ และมัดเล็ก โดยกลุ่มมัดใหญ่ทำได้ง่ายด้วยการขมิบยาวๆ ครั้งละ 5 - 10 วินาที ส่วนมัดเล็กขมิบสั้นๆ ครั้งละ 2 วินาที ทำวันละหลายๆ ครั้ง จะช่วยผ่อนคลายได้ดีมาก
      
       คุณ แม่สามารถทำได้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์เลย และทำต่อเนื่องจนหลังคลอด จะช่วยป้องกันการหย่อนของอุ้งเชิงกราน เช่น มดลูกหย่อน กระบังลมหย่อน หรือท้องผูกเนื่องจากการหย่อนของช่องคลอด ดังนั้นเวลานั่งว่างๆ ก็หาเวลาทำ ซึ่งคุณแม่ทั้งหลายก็ทำได้คุณหมอแนะนำ
      
       ทั้งหมด นี้ คือการดูแลสุขภาพของว่าที่คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ เพื่อระหว่างการตั้งครรภ์ และหลังคลอดจะได้มีสุขภาพดี และกลับมาสวยปิ้ง มีความมั่นใจเหมือนเดิม ซึ่งกลับคืนสู่สภาพได้เร็ว เพราะได้เตรียมพร้อม และดูแลสุขภาพร่างกายมาเป็นอย่างดี
      
       ถึง แม้จะอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ก็ไม่เป็นอุปสรรคในเรื่องความสวยอีกต่อไป ซึ่งคุณหมอบอกว่า อยากแต่งก็แต่งไปเลย เปิดโอกาสให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และเสน่ห์มัดใจสามีได้อย่างเรียกได้ว่า ถึงท้อง ฉันก็สวย และสุขภาพดีได้ ขอเป็นกำลังใจให้กับว่าที่คุณแม่ทุกคนนะครับ

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : โรงพยาบาลบีเอ็นเอช



ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ตรวจหาเชื้อเสี่ยงลด 'มะเร็งมดลูก'

ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพเพศหญิงแนะตรวจหาเชื้อ HPV มีความเสี่ยง ช่วยลดการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ ระบุมะเร็งร้ายนี้คร่าหญิงเกือบ 500,000 คนต่อปี หญิงไทย 14 คนต่อวัน

ตรวจหาเชื้อเสี่ยงลด 'มะเร็งมดลูก'

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพศหญิงทั่วโลกร่วมประชุมในงาน Asia Oceania Research Organization on Genital Infections and Neoplasia (AOGIN) ที่ฮ่องกง มีความเห็นร่วมกันให้ทบทวนนโยบาย การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกในทวีปเอเชีย เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคที่สามารถป้องกันได้นี้ ซึ่งในแต่ละปีสตรีทั่วโลกเกือบ 500,000 คน ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายนี้ และครึ่งหนึ่งต้องเสียชีวิตลง โดยส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย ส่วนในไทยข้อมูลสำรวจประชากรไทย พ.ศ. 2553 พบว่ามีหญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกและเสียชีวิตเฉลี่ย 14 รายต่อวัน และไทยติดอันดับ 4 ของกลุ่มประเทศตะวัน ออกเฉียงใต้ที่พบอัตราการเสียชีวิต จากมะเร็งปากมดลูกสูงสุด

ทั้งนี้ สาเหตุหลักของมะเร็งชนิดนี้คือ เชื้อไวรัส Human Pa-pillomavirus (HPV) ที่ทำให้เกิดโรคกว่าร้อยละ 99 โดยเชื้อ HPV มี 14 สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงทำให้เกิดโรค และสายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด และก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกถึงร้อยละ 70 ในกลุ่มสตรีทั่วโลก

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการตรวจหาเชื้อที่มีความเสี่ยงสูงสำคัญมากในการที่ จะลดอัตราโรคมะเร็งปากมดลูกในภูมิภาค เนื่องจากการตรวจคัดกรองโดยวิธีแปปสเมียร์ (Pap smear) เป็นการหาความผิดปรกติของเซลล์ในปากมดลูกมากกว่าการตรวจหาเชื้อ และยังมีเจ้าหน้าที่ห้องแล็บที่เชี่ยวชาญสูงในการแปลผล ซึ่งเวลานี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยตรวจวินิจฉัยเชื้อ HPV ในร่างกายแล้ว

ตัวอย่างเทคโนโลยีนี้รวมถึงโซลูชั่นการตรวจมะเร็งปากมดลูกอย่างครบวงจร ของบริษัทโรช ไดแอกโนสติกส์ ที่ตรวจเชื้อ HPV สาย พันธุ์เสี่ยงสูงอย่างสายพันธุ์ 16และ 18และอีก 12สายพันธุ์ได้ในการตรวจเพียงครั้งเดียว ซึ่งการศึกษาในสหรัฐพบว่าสตรีที่มีเชื้อ HPV สาย พันธุ์ 16และ 18มีความเสี่ยงสูงกว่า สตรีทั่วไปถึง 35เท่าในการพัฒนารอยโรคก่อนมะเร็งปากมดลูก







ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

แพทย์เผยชายไทยฮิตทำเลเซอร์เสริมความงามมากขึ้น 10-15%

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แพทย์เผยชายไทยฮิตทำเลเซอร์เสริมความงามมากขึ้น 10-15%

พบชายไทยนิยมเลเซอร์เพื่อความงาม มากขึ้น 10-15% รักษาการ ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง แนะคิดก่อนทำ โดยเฉพาะผู้มีอาการแพ้ง่าย ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน ด้านรองอธิบดีกรมการแพทย์ ติงหมอเปิดคลินิกความงามแข่งขันอย่างดุเดือด ผิดระเบียบแพทยสภา
นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าว ว่า จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า โรคผิวหนังเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศไทย ซึ่งแต่ละปีมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่สถาบันโรคผิวหนังมากถึง 1.8 แสนคนต่อปี โดยอาการของโรคที่พบมากที่สุด คือ 1.อาการผื่นแพ้จากปูนซีเมนต์ หรือผงซักฟอก 2.ปัญหาสิว และ 3.ปัญหาเรื่องสีผิว โดยปัจจุบันคนไทยมีแนวโน้มเข้ารับการรักษาโรคผิวหนังด้วยเลเซอร์เพิ่มมาก ขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชายที่เพิ่มมากขึ้น 10-15% สำหรับสัดส่วนในการรักษาโรคผิวหนังด้วยเลเซอร์ พบว่า ร้อยละ 95 เข้ารับการรักษาเนื่องจากความนิยมในเรื่องของความสวยงาม ได้แก่ การทำหน้าขาวใส ลบรอยสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำผิวให้กระชับ กำจัดขน และรักษาอาการเส้นเลือดขอด ส่วนที่มารับการรักษาโรคจริงๆ อาทิ ปานแดง ปานดำ และเนื้องอกมีไม่ถึง และร้อยละ 5
นพ.จินดา กล่าวอีกว่า ข้อควรระวังในการรักษาและเสริมสวยด้วยเลเซอร์ คือ ผู้ที่มีอาการแพ้ง่ายควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการรักษา ส่วนผู้ป่วยเบาหวานจะต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะจะมีผลต่อการหายจากโรค ที่สำคัญคือเมื่อทำการรักษาไปแล้วจะต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่าง เคร่งครัด สำหรับค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับโรคและเครื่องมือที่ใช้ใน การรักษา
“ก่อนเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่า มีความจำเป็นต้องรักษาด้วยเลเซอร์หรือไม่ เพราะอาการทางผิวหนังบางอย่างอาจหายไปเองได้ และหากมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ จะต้องมีการปรึกษาแพทย์ก่อนว่า ต้องมีการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาอย่างไรบ้าง รวมไปถึงหลังการรักษาว่าจะเกิดผลข้างเคียงอย่างไร และบางกรณีที่ไม่สามารถรักษาแล้วหายภายในครั้งเดียว อาจทำให้มีค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง” นพ.จินดา กล่าว
ด้าน นพ.จิโรจ สินธวานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อดีตผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ปัญหาผิวพรรณและผิวหน้าเป็นสิ่งใกล้ตัว ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดคลินิกเพื่อดูแลด้านนี้อยู่เป็นจำนวนมาก และมีกลยุทธ์ในการแข่งขันที่รุนแรง เพื่อชักจูงให้ประชาชนไปใช้บริการด้วยการจัดโปรโมชันลด แลก แจก แถม และจัดโปรแกรมการให้บริการ ซึ่งลักษณะอย่างนี้ถือว่าผิดระเบียบของแพทยสภา ที่แพทย์ไม่สามารถกระทำการอย่างนี้ได้
นพ.จิโรจ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ประชาชนควรทำความเข้าใจ คือ การรักษาด้วยเลเซอร์ไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง เนื่องจากเลเซอร์แต่ละตัวมีข้อจำกัดในตัว เลเซอร์บางอย่างไม่สามารถใช้กับบางเรื่องได้ ฉะนั้น การทำเลเซอร์นอกจากต้องคำนึงถึงชนิด อาการ และเครื่องมือที่ใช้แล้ว ยังต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้บริการในการรักษาด้วย ทั้งนี้ หากมีการเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียน เชื่อว่า สถาบันโรคผิวหนัง ซึ่งถือเป็นหน่วยงานราชการที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเครื่องมือที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ จะทำให้มีผู้ป่วยต่างชาติมารับบริการมากขึ้น
 “ปัจจุบันมีการสร้างดีมานด์เทียม เช่น เรื่องขาวทั้งตัว ซึ่งถือเป็นเรื่องการตลาดทั้งสิ้น และคลินิกบางแห่งก็มีการนำยาผิดกฎหมายเข้ามาใช้ เพื่อตอบสนองต่อค่านิยมที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทยอาจรู้สึกชินกับการใช้ของที่ไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลให้มาตรฐานของประเทศไทยตกต่ำในอนาคต” รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว


ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

สธ.ห่วงไข้เลือดออก ครึ่งปีมีผู้ป่วยแล้วกว่า 25,000 คน

สธ.ห่วงไข้เลือดออก ครึ่งปีมีผู้ป่วยแล้วกว่า 25,000 คน

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกขณะนี้เป็นปัญหามากกว่าโรคมือเท้าปาก เนื่องจากครึ่งปีแรกพบผู้ป่วยแล้วกว่า 25,000 คน เสียชีวิตแล้ว 27 คน โดยผู้เสียชีวิตมีอายุตั้งแต่ 5-27 ปี ทำให้ต้องเฝ้าระวังทุกกลุ่มอายุ
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรค กำจัดแหล่งน้ำขัง ใส่ทรายอะเบทลงในบ่อน้ำนิ่ง ระวังอย่าให้ยุงกัด หากมีอาการไข้สูง มีจุดสีแดงเล็กขึ้นตามตัว ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
ข้อมูลสถานการณ์โรคไข้เลือดออก ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 274 กรกฎาคม พบว่ามีผู้ป่วยแล้วกว่า 25,000 คน อัตราป่วยอยู่ที่ 36.69 คนต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่งเมื่อรวมกับปีที่ผ่านมาที่พบว่ามีผู้ป่วยกว่า 68,000 คน โดยภาคกลางพบผู้ป่วยมากที่สุด คือ 9,500 กว่าคน แม้ว่าจะมีอัตราป่วยที่ลดลงจากปีที่แล้ว แต่ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังอันตรายจากโรคที่เกิดขึ้นด้วย


ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เตือนป่วยมือเท้าปากห้ามออกกำลังกาย เสี่ยงอาการทรุด

เตือนป่วยมือเท้าปากห้ามออกกำลังกาย เสี่ยงอาการทรุด
สธ.แนะผู้ป่วยมือเท้าปาก ไม่ควรออกนอกบ้านจนกว่าจะหาย ชี้ ทำให้เชื้อแพร่กระจาย เตือนงดออกกำลังกาย เพราะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ภูมิต้านทานอ่อนแอลง เอื้อเชื้อโรคทวีความรุนแรงจนอาการทรุดหนัก
นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการป้องกันควบคุมโรคมือเท้าปาก ว่า ขณะนี้ สธ.ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ทุกจังหวัด ทั้งด้านการเฝ้าระวังการป่วยทุกพื้นที่ และการป้องกันการนำเชื้อจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศ ซึ่งจากการดำเนินงานอย่างเข้มข้นทุกพื้นที่ ทำให้พบผู้ป่วยและดูแลรักษาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน ลดโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้ในด้านการดูแลรักษา สถานพยาบาลทุกแห่งมีผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือแพทย์ และเวชภัณฑ์ครบถ้วน ให้การดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มที่และดีที่สุด ส่วนผู้ป่วยที่ไปตรวจรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ไม่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล ให้คำแนะนำและพักรักษาตัวที่บ้าน ซึ่งอาการป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้น และหายได้เองประมาณ 7-10 วัน
นพ.สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า ผู้ที่ป่วยด้วยโรคมือเท้าปาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ขอแนะนำให้พักรักษาตัวที่บ้านจริงๆ จนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ ไม่ควรเดินทางออกนอกบ้าน หรือเดินทางไปต่างจังหวัด หรือไปในที่ชุมชน หรือไปออกกำลังกาย เพราะเห็นว่าไม่ได้เป็นผู้ป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ เนื่องจากการเดินทาง หรือการออกกำลังกายขณะกำลังป่วย จะทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลียมากขึ้น ร่างกายทรุดโทรม ระบบภูมิต้านทานในร่างกายอ่อนแอเพิ่มไปอีก และทำให้เชื้อโรคที่ไม่รุนแรง มีความรุนแรงและทำให้อาการของผู้ป่วยรุนแรงขึ้น และการเดินทางของผู้ป่วย จะทำให้เชื้อแพร่กระจายมากขึ้น เนื่องจากเชื้อโรคจะอยู่ในน้ำลายและอุจจาระของผู้ป่วย


ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เตือนอย่าตื่นตระหนกโรคไข้สมองอักเสบ

เตือนอย่าตื่นตระหนกโรคไข้สมองอักเสบ

“หมอประเสริฐ” เตือนอย่าตื่นตระหนกโรคไข้สมองอักเสบ ชี้ไทยพบผู้ป่วยและเสียชีวิตทุกปี ระบุเชื้ออีวีเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่พบน้อยมาก วอนอย่ารังเกียจเด็กกัมพูชาหลังตายจากมือเท้าปากในไทย
ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค ในฐานะประธานคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาและระบาดวิทยา กล่าวภายหลังการประชุมเพื่อหารือแนวทางการสื่อสารสู่ประชาชนเรื่องโรคไข้ สมองอักเสบ การติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 และโรคมือ เท้า ปาก ว่า ในวันนี้เป็นการประชุมเพื่อหารือกรณีการเสียชีวิตของเด็กหนุ่ม อายุ 16 ปี ที่ จ.สระแก้ว ซึ่งแม้ผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการยืนยันว่า พบเชื้อไวรัสเอนเทอโร อีวี 71 แต่เสียชีวิตจากภาวะไข้สมองอักเสบ ทำให้เกิดความแตกตื่น จึงต้องจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า ไข้สมองอักเสบเป็นโรคประจำถิ่นของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน พบได้ประปรายทุกปี ไม่มีฤดูการระบาดเฉพาะ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เชื้อวัณโรค เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียนอื่นๆ สำหรับเชื้ออีวีก็พบได้บ้างเล็กน้อย เพียงร้อยละ 2-4 ของจำนวนผู้ป่วยโรคสมองอักเสบทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 22 ก.ค. มีผู้ป่วยไข้สมองอักเสบที่ได้รับรายงานจากทั่วประเทศจำนวน 334 ราย กระจายในแต่ละกลุ่มอายุ ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่และมีรายงานตอลดปี เสียชีวิตรวม 12 ราย และเมื่อย้อนหลังไป 5 ปี ภาพรวมกระทรวงสาธารณสุขมีรายงานผู้ป่วยกระจายทั้งปี เฉลี่ยประมาณปีละ 300-500 ราย เสียชีวิตปีละ 10-12 ราย ไม่พบว่า จ.สระแก้ว และจังหวัดใกล้เคียงมีอัตราการป่วยหรือตายที่สูงผิดปกติกว่าที่จังหวัดอื่น สำหรับในส่วนของโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย พบการรายงานผู้ป่วยไข้สมองอักเสบจากทุกสาเหตุปีละประมาณ 300 ราย ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวต่อว่า การควบคุมโรคควรให้ความสำคัญกับการเฝ้าระวังโรคและป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ โดยเฉพาะในส่วนของไข้สมองอักเสบที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ส่วนไข้สมองอักเสบที่ไม่มีวัคซีนป้องกัน จำเป็นต้องระมัดระวังในการป้องกันเสียชีวิต ด้วยการสังเกตุอาการ คือ มีไข้สูง ซึม อาเจียน หอบเหนื่อย ชัก แขนขาอ่อนแรง ให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์
ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวอีกว่า การระบาดของโรคมือเท้าปากในประเทศกัมพูชายังคงมีอยู่ และมีการเสียชีวิตอยู่บ้าง โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุคือเอนเทอโรไวรัส 71 สายพันธ์ซี 4 ต่อข้อถามว่า เด็กกัมพูชาอายุ 2 ขวบ 6 เดือนที่เสียชีวิตที่ จ.ระยองนั้น ศ.นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า สื่อนำเสนอไปแล้ว เป็นเด็กกัมพูชาที่อาศัยที่ระยองนานแล้ว ถ้าจะป่วยก็คงป่วยในประเทศไทย ส่วนที่สาธารณสุขจังหวัดให้ข้อมูลว่ามีเด็กที่พึ่งกลับมาจากกัมพูชา และมาคลุกคลีกับเด็กเสียชีวิตนั้น ยังไม่มีข้อมูลนี้ ต้องรอทีมสอบสวนโรคจากส่วนกลางซึ่งจะลงพื้นที่เมื่อเช้านี้รายงานเข้ามาก่อน ขณะเดียวกันก็ต้องรอผลจากห้องปฏิบัติการด้วยว่าเป็นเชื้อชนิดได้ ทั้งนี้ในกรณีที่เด็กมีอาการโรคมือเท้าปากชัดเจน ไม่จำเป็นต้องนำเข้าคณะกรรมการของตนพิจาณาอีก เพราะคณะทำงานชุดนี้จะพิจารณากรณีที่ก่ำกวมเท้านั้น เมื่อถามว่า คนไทยอาจตื่นตระหนกและไม่กล้าเข้าใกล้เด็กกัมพูชา ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า เป็นโรคไร้พรมแดน ข้ามไปมาระหว่างประเทศ จากจีนไปเวียดนาม กัมพูชา ส่วนประเทศไทยมีโรคนี้อยู่แล้ว ดังนั้นอย่ารังเกียจเด็กไม่ว่าสัญชาติอะไร ด้าน นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประชาชนไม่ต้องกังวล เพราะได้มีมาตรการป้องกันโรคในพื้นที่อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามอยากให้รอผลสอบสวนอย่างละเอียดก่อน และจะมีการแถลงให้ทราบต่อไป


ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

อย.เตือน "เครื่องดื่มชูกำลัง" ป้องกัน "มือเท้าปาก" ไม่ได้ กินมากเสี่ยงถึงตาย

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อย.เตือน "เครื่องดื่มชูกำลัง" ป้องกัน "มือเท้าปาก" ไม่ได้ กินมากเสี่ยงถึงตาย

ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวเกี่ยวกับชาวกัมพูชาแห่ซื้อเครื่องดื่มชูกำลัง หลังมีข่าวลือว่า เมื่อนำมาผสมกับน้ำผึ้งแล้ว จะช่วยป้องกันเชื้อไวรัสอีวี 71 (เอนเทอโรไวรัส 71) หรือโรคมือเท้าปากได้นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ขอเรียนว่า เครื่องดื่ม ชูกำลัง หรือชื่อเรียกที่ถูกต้องคือ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน นั้น จัดเป็นอาหารควบคุมเฉพาะ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 214) พ.ศ. 2543, (ฉบับที่ 230) พ.ศ. 2544 และ (ฉบับที่ 290) พ.ศ. 2548 เรื่อง เครื่องดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิท ต้องมีคุณภาพ หรือมาตรฐาน ตลอดจนการแสดงฉลากตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 194) พ.ศ.2543 เรื่อง ฉลาก โดยต้องระบุข้อความ "ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด เพราะหัวใจจะสั่น นอนไม่หลับ เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อน" ด้วยตัวอักษรสีแดงบนพื้นขาว มองเห็นได้ชัดเจน
ดังนั้น ขอให้ผู้บริโภคตระหนักไว้ว่า เครื่องดื่มจัดเป็นอาหาร ไม่ใช่ยา จึงไม่มีผลในการป้องกัน หรือรักษาโรคใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ อย. ได้ประสานงานไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด โดยเฉพาะเขตพื้นที่ชายแดนของประเทศไทย ให้ดำเนินการเฝ้าระวังการกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริงของเครื่องดื่มผสมกาเฟอีน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบการโฆษณาเชิงรุกทางสื่อต่างๆ และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ผู้บริโภค จึงขอให้ผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อข่าวลือดังกล่าวเด็ดขาด หากไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง เพราะนอกจากจะเสียโอกาสในการรักษาโรคอย่างถูกวิธีแล้ว อาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เนื่องจากเครื่องดื่มดังกล่าวมีส่วนผสมของกาเฟอีน ที่มีฤทธิ์กระตุ้นการเต้นของหัวใจ และระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มเสี่ยงที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี หากรับประทานเข้าไปอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวอีกว่า ขอให้ผู้บริโภคช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพเกินจริงหลอกลวงผู้บริโภค เช่น อ้างสรรพคุณในการรักษาโรค ขอให้ร้องเรียนมายังสายด่วน อย. 1556 เพื่อ อย.จะได้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

“อ่าน” สร้างสุข...สร้างรัก “ภาษา”

“อ่าน” สร้างสุข...สร้างรัก “ภาษา”
“0-6 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต สมองเปิดรับการเรียนรู้ดีที่สุด หนังสือภาพที่ดีเป็นหนึ่งในสื่ออันทรงประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างเสริม พัฒนาการเด็กปฐมวัย” สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านกล่าว
นี่อาจจะเป็นบทสรุปที่ชัดเจนว่า “การอ่าน” นับเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการสร้างพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะเด็กในช่วงระดับปฐมวัย
29 กรกฎาคม ถูกกำหนดให้เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ ผ่านมาในหลายยุคหลายสมัย ทำให้เรารับรู้ได้ว่าพัฒนาการทางด้านภาษามีการเปลี่ยนแปลงไปนักต่อนัก โดยเฉพาะการที่มีสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างโซเชียลมีเดีย สื่อใหม่ๆ ที่ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่สื่อสิ่งพิมพ์หลายอย่าง เพราะความรวดเร็ว สะดวก ง่ายต่อการเข้าถึง บ้างก็จะกล่าวว่าภาษาไทยเราผิดเพี้ยนไปจากเดิม เพราะสื่อโซเชียลมีเดียเหล่านี้
แต่ในมุมมองนักคิด นักอ่าน และผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการการอ่าน อย่าง นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บอก ว่า คุณนวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ภาษาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่จะทำอย่างไรให้ภาษาที่สวยงามคงอยู่ เราต้องรักษารากเดิมของภาษาให้งดงามมากที่สุด หากฐานแน่นแล้ว ต่อให้มีอะไรมาประยุกต์ใช้อย่างไร ภาษาก็จะมีพลัง นอกจากนี้ จากข้อมูลของแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน พบว่า พัฒนาการทางด้านภาษาของเด็กลดลง 20 จุดน้อยกว่าพัฒนาการด้านอื่นๆ ซึ่งถือเป็นวิกฤติของพัฒนาการทางด้านภาษา จะเห็นว่าการพูดสมัยก่อนกับปัจจุบันก็แตกต่างกัน เรื่องพัฒนาภาษาเขียนก็ย่อมแตกต่างกันไปด้วย อย่างนักเขียนรุ่นใหม่ๆ สำนวนก็จะหวือหวาขึ้น แต่ตัวที่จะตรึงคนได้ คือพลังของภาษาจะต้องเอาเนื้อหาสามารถรับใช้ได้สอดคล้องวัยมากกว่า และสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภาษาคือการเปลี่ยนความคิด การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของผู้อ่าน จะเป็นพลังที่น่าสนใจมาก จะเห็นว่างานเขียนหลายชิ้นสามารถเปลี่ยนสังคม และเปลี่ยนโลกได้
“ไทยให้ความสำคัญยกให้วันที่ 29 ก.ค.เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ นอกจากจะเป็นความภูมิใจที่เรามีภาษาของเราเอง ทั้งภาษาถิ่นและภาษากลาง อีกส่วนหนึ่งก็คือภาษาควบคู่กับการพัฒนาทางสมอง และพัฒนาการด้านต่างๆ พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้โซเชียลมีเดีย เพราะเราต้องสื่อสารการทำงานผ่านเส้นทางนี้ แต่ภาษาก็จะมีการหวือหวาไปตามช่วงๆ อย่างช่วงนี้ภาษาสก๋อยที่หลายคนกำลังกังวล แต่ส่วนตัวพี่คิดว่าไม่น่าห่วงเพราะเมื่อภาษาเราแข็ง สิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาก็เป็นแค่ช่วงเวลา และคนที่เสพตรงนั้นก็เป็นเพียงเฉพาะกลุ่มเท่านั้นเอง”
นางสุดใจ ยังเล่าให้ฟังอีกว่า คำในภาษาไทยของเรามีความไพเราะจริงๆ และสามารถปลูกฝังได้ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ขวบ หรือขณะคุณแม่ตั้งครรภ์ก็สามารถอ่านให้ลูกฟังได้เช่นกัน อย่างในต่างประเทศมีการปลูกฝังให้เด็กได้อ่านหนังสือภาพหรือนิทานมากกว่า 1,000 เล่ม ซึ่งก็จะส่งผลให้เด็กไม่มีปัญหาของการเรียนรู้ ยิ่งเด็กได้รับการเรียนรู้อย่างถูกวิธี มีหนังสือดีๆ ได้อ่าน ก็จะทำให้เขารักการอ่านได้ง่ายขึ้น เช่น เด็กแรกเกิดถึง 3 ขวบ จะชอบเรื่องใกล้เคียงกับชีวิตตัวเอง ก่อนวัยทีนก็จะสนใจเรื่องของจินตนาการ แฟนตาซี และวัยรุ่นก็จะเป็นช่วงวัยที่เริ่มสนใจเรื่องราวรอบตัวมากขึ้น
“จากการลงพื้นที่ของแผนงานฯ พบว่า หลายคนเริ่มมีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น สมัยก่อนเราไม่เคยรู้เลยว่า เราสามารถอ่านหนังสือให้ลูกฟังได้ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง หรือต้องอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่อายุ 6 เดือนที่สายตาเขาเริ่มโฟกัสได้แล้ว พอทุกคนเริ่มรู้และรู้ว่าหน้าต่างแห่งโอกาสภาษาเปิดได้ตั้งแต่ช่วงนั้น เด็กสามารถเรียนรู้ทุกภาษาในโลกได้ หากเรามีความสามารถและรู้จังหวะของการให้ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้กำลังไหลลงสู่พื้นที่ และแกนนำอาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศ เรากำลังโปรยปรายความรู้ร่วมกันเพื่อให้ทุกคนมีความสุขมากขึ้น”  นางสุดใจกล่าว
สำหรับแกนนำอาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน ซึ่งมีหน้าที่เสมือนส่งต่อความรู้ผ่านหนังสือไปยังพื้นที่ที่ขาดโอกาส นับเป็นภารกิจสำคัญ ซึ่งผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านบอกว่า แกนนำเหล่านี้ต้องมีความเข้าใจในแต่ละพื้นที่ว่าเหมาะสมกับเรื่องใด บางแห่งก็สนใจเรื่องเกษตร บางแห่งที่เป็นศูนย์เด็กเล็กก็จะมีหนังสือที่ส่งเสริมการอ่านสำหรับเด็กๆ หรือตัวอย่างที่จังหวัดสุรินทร์ มีการรวมกลุ่มของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ก็ใช้การอ่านช่วยสร้างพลังใจให้เข้มแข็ง เป็นต้น
“ตอนที่เราร่วมกับภาครัฐ เราทำเรื่องมหานครแห่งการอ่าน มี 5 จังหวัดนำร่อง คือ ฉะเชิงเทรา ลำปาง เพชรบุรี ขอนแก่น และนครศรีธรรมราช และมีการเพิ่มขึ้นอีก 10 จังหวัดในปีนี้ อย่างไรก็ตามในทุกจังหวัดที่ไม่ได้เป็นมหานครแห่งการอ่านก็จะมีแกนนำอาสา สมัครส่งเสริมการอ่านอยู่ในทุกพื้นที่ผ่านเส้นทางการทำงานของ กศน.ศูนย์เด็กเล็ก  เป็นต้น บางพื้นที่อย่างที่เพชรบุรี มีการส่งเสริมการอ่านที่ตลาด โดยทุกก่อนวางแผงที่ตลาดนัด 1 ชม.ก่อนจะมีคนมาซื้อ รถเข็น กศน.ก็จะขับเคลื่อนไปให้หยิบยืมหนังสือมาอ่านได้ เป็นต้น หรืออย่างที่จังหวัดสุรินทร์ มีการรวมกลุ่มของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ก็ใช้การอ่านช่วยสร้างพลังใจให้เข้มแข็ง”นางสุดใจกล่าว
พลังจากการอ่าน คือพลังแห่งการซึมซับความรู้และความสุข ก็ได้แต่หวังว่าเราจะใช้การอ่านเป็นเครื่องมือสร้างสุขและสร้างการรักษาภาษา ไทยสืบไป


เรื่องโดย : สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

นั่งเครื่องบิน-เล่นคอมฯ นาน เสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน

นั่งเครื่องบิน-เล่นคอมฯ นาน เสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน

เตือนภัยใกล้ตัว นั่งเครื่องบิน ทำงานหน้าคอมฯ นาน เสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน อุทาหรณ์จาก สาวไอริช บินเที่ยวไทย เกิดป่วยมือเท้าอ่อนแรง หวิดเป็นอัมพาต หมอชี้นั่งนานเกิน ดื่มน้ำน้อย
เตือนไว้เป็นอุทาหรณ์ สำหรับคนที่ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลด้วยการขึ้นเครื่องบิน หลังนักท่องเที่ยวชาวไอร์แลนด์ วัย 22 ปี ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวที่เมืองไทยเพียง 1 วัน เกิดอาการป่วยกะทันหัน มือ เท้าอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ โชคดีถึงมือหมอทัน มิฉะนั้นอาจถึงอัมพาต ซึ่งเมื่อเข้ารับการรักษาพบว่า สาวไอริชคนดังกล่าวนั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน โดยไม่เคลื่อนไหวร่างกาย และดื่มน้ำน้อย จึงเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน
สำหรับอาการลิ่มเลือดอุดตัน ปกติจะพบในผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่สูบบุหรี่ เป็นเบาหวาน แต่สำหรับผู้ที่มีอายุน้อย ไม่มีโรคประจำตัว ร่างกายแข็งแรง ก็สามารถเป็นได้ ซึ่งหากต้องอยู่ในที่แคบๆ มากกว่า 3 ชั่วโมง ควรลุกเดินบ้างเพื่อไม่ให้เส้นเลือดถูกกดทับนานเกินไป พร้อมทั้งดื่มน้ำมากๆ
นอกจากนี้ ในกลุ่มของผู้ที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก็มีโอกาสที่จะเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันได้เช่นกัน เนื่อจากไม่ได้มีการขยับร่างกาย ซึ่งนักวิจัยที่ประเทศนิวซีแลนด์พบว่าการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง อาจทำให้เลือดแข็งตัวเป็นก้อนลิ่ม เป็นอันตรายถึงตายได้ ลักษณะคล้ายๆ กับการเกิดอาการที่เรียกว่า DVT (Deep Vein Thrombosis)
แนะนำผู้ที่นั่งทำงาน หรือเล่นคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้  ให้พยายามกระดิกนิ้วเท้า และข้อเท้า และดื่มน้ำมากๆ โดยไม่ควรดื่มอัลกอฮอล์ รวมทั้งให้ลุกขึ้นและยืดขาอย่างน้อยๆ ชั่วโมงละ 1 ครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ใช้โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์จะเสี่ยงต่ออาการผิดปกติดังกล่าวเป็น 2 เท่า ซึ่งรวมไปถึงผู้ใช้โน้ตบุ๊กขณะโดยสารเครื่องบินราคาราคาประหยัด ซึ่งมีพื้นที่แคบ ก็เสี่ยงกับอาการนี้เช่นกัน


ที่มา : อินโฟเควสท์  


PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ป้องกันภาวะ "จิตตก"

คนเราแต่ละคนมีจิตใจแข็งแรงไม่ เท่ากัน ความสามารถ ในการรับความกดดันในชีวิตจึงมีไม่เท่ากัน ปัจจุบันระดับความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตผู้คนในสังคมมีสูงมาก คนที่ประสบภาวะเครียด บ่อยๆเป็นระยะเวลายาว นานบางครั้งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนล้าทางด้านจิต ใจ หรือบางคนอาจเรียกว่า "จิตตก" ได้
คำว่า "จิตตก" เป็นคำที่ใช้พูดเพื่อบรรยายอาการ แต่ไม่ได้เป็นศัพท์มาตรฐาน ดังนั้น จึงอาจไม่มีคำนิยามโดยเฉพาะเจาะจงที่ชัดเจน สำหรับผู้เขียนอยากให้ความหมายของภาวะจิตตกว่า คือภาวะจิตใจของคนที่ประสบกับความเครียด ความกดดัน เป็นระยะเวลายาวนาน หรืออาจเกิดจากความกดดันที่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ไม่ยาวนานแต่มีความรุนแรง สูง
อาการที่เกิดขึ้นมักเป็นลำดับดังนี้ เบื้องต้นมักจะเกิดจากการคาดว่า เกรงว่าสิ่งที่ไม่ดีจะเกิดขึ้น จะมีความเสียหายเกิดขึ้น คิดว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ จะล้มเหลว ทำให้เกิดอาการวิตกกังวล ได้แก่ อาการใจสั่น เหงื่อออก หายใจไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ระบบทางเดินอาหาร ระบบย่อยอาหารปั่นป่วน เป็นต้น
ส่วนระยะถัดมาเมื่อทราบถึงผลของเหตุการณ์แล้วว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด ไม่สำเร็จ ก็จะเกิดอาการผิดหวัง ท้อแท้ ซึมเศร้า ได้แก่ อาการเบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ คิดช้า ไม่มีกำลังใจ รู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่า ในรายที่อาการรุนแรงอาจมีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากฆ่าตัวตาย และอาจมีอาการทางจิตร่วมด้วย เช่น หูแว่ว ประสาทหลอน หวาดระแวง ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ทั้งกับตนเองและผู้อื่น
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าภาวะจิตตกเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ เมื่อไร ดังนั้น ทางที่ดีจึงควรทำความรู้จักวิธีการรับมือกับภาวะจิตตกเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ง่าย ควรเพิ่มภูมิคุ้มกันโดยการลดระดับความเครียดในแต่ละวันไม่ให้เกิดการสะสม โดยการพักกายและพักใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะหลงลืมไป ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพราะคนที่หิวหรือนอนไม่พอ ความอดทนจะต่ำ อารมณ์จะหงุดหงิด ฉุนเฉียวได้ง่าย
นอกจากนี้ในแต่ละวันควร มีเวลาออกกำลังกายเพื่อยืดเส้น ยืดสาย ลดความเครียด และช่วยให้ฮอร์โมนเอนโดรฟินในสมองซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้คนเรารู้สึกผ่อน คลาย มีความสุขหลั่งออกมา นอกจากพักกายแล้ว การพักใจก็ควรทำเป็นประจำ ถ้าทำได้ทุกวันจะเป็นการดี การพักใจที่ว่านี้คือการทำให้ใจได้พักโดยการทำงานอดิเรกที่ชอบ ทำแล้วมีความสุข สมองได้พักผ่อน เพื่อช่วยให้อารมณ์ลบในแต่ละวันถูกถ่ายเทออกไป ไม่สะสม จิตใจก็จะผ่องใส สามารถรับแรงกดดันในชีวิตได้ดีขึ้น เกิดภาวะจิตตกได้ยากขึ้น
สำหรับคนที่ตกอยู่ในภาวะจิตตก การจะผ่านภาวะนี้ไปได้ต้องอาศัยทักษะดังนี้
1.ความเชื่อมั่นว่าจะผ่านพ้นปัญหาไปได้ ส่วนจะช้าหรือเร็วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การเชื่อมั่น ว่าปัญหาจะมีทางออกในที่สุดจะช่วยให้มีกำลังใจสู้ต่อไปได้
2.ความสามารถมองเห็นข้อดีหรือข้อบวกของสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องฝึก ฝนจึงจะทำได้ดี
3.การมองปัญหาและการวางแผนแก้ไขแบบเป็นขั้นตอน แล้วจัดการแก้ไขไปทีละขั้นละเปลาะ การแก้ไขได้สำเร็จทีละขั้นจะช่วยให้เกิดความมั่นใจว่าจะแก้ปัญหาได้สำเร็จใน ที่สุด
4.สำหรับคนที่พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองแล้วยังไม่สำเร็จ อาจต้องอาศัยตัวช่วยคือความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ได้แก่ เพื่อนสนิท หรือญาติผู้ใหญ่ ในการช่วยมองปัญหา ให้คำปรึกษาแนะนำ
ในบางรายถ้าประสบปัญหาที่ใหญ่และหนักหนามาก หลังรับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างแล้วยังไม่ดีขึ้น และอาจมีอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้าจนไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่การงานได้ อาจจำเป็นต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ เพื่อช่วยเหลือให้ต่อสู้กับปัญหาและผ่านวิกฤตไปให้ได้ หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะไม่ต้องประสบกับภาวะจิตตก ถ้าต้องพบก็ขอให้รับมือได้ อย่างไรก็ตาม อ่านบทความนี้แล้วอย่าลืมพักกายพักใจกันทุกๆ วันด้วยนะครับ


ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้วันสุข โดย นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

อาการในเด็กแรกเกิดที่ต้องระวัง

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เอาใจใส่ตั้งแต่แรกเริ่ม เพิ่มลูกสุขภาพดีสมวัย


          เด็กในวัยแรกเกิดถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ  และ ช่วงเวลาหลังคลอด 1 เดือน ก่อนที่คุณหมอจะนัดมาตรวจอีกครั้ง คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นสังเกตอาการของลูกน้อยว่าอาการแบบไหน ควรจะต้องพามาพบคุณหมอโดยเร็ว

          1. อุณหภูมิร่างกายสูงหรือต่ำกว่าปกติ

          ปกติ อุณหภูมิเด็กแรกเกิดจะอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส ซึ่งหากลูกปกติ อุณหภูมิไม่ควรจะมากกว่าหรือต่ำกว่า 0.5 องศา สิ่งที่ต้องระวัง เมื่ออุณหภูมิมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส คือตัวจะร้อน คุณแม่ควรใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิทาง รักแร้นาน 3 - 5 นาที ไม่ควรเอาใส่ในปากเด็ก และถ้ามีไข้ควรพบแพทย์ทันที

          ส่วน กรณีที่ลูกตัวเย็นคุณแม่สามารถร่วมสังเกตว่าปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำ หากลูกยังมีอาการเขียวคล้ำและดูซึมๆ ควรรีบพบแพทย์ เนื่องจากเด็กอาจมีภาวะติดเชื้อได้  ถ้าเด็กอายุน้อยกว่า 1 เดือนมีไข้ ไม่ควรให้ทานยาลดไข้เองโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจเป็นการปิดบังอาการและเกิดอันตรายต่อเด็กได้

          2. สีผิว

          เด็ก ปกติผิวควรเป็นสีชมพูแดง ถ้าเมื่อไหร่ลูกมีอาการสีผิวออกเหลืองส้มเหมือนทาขมิ้นควรพามาพบแพทย์ ในเด็กปกติอาจมีอาการ ตัวเหลืองได้ในวันที่ 3 - 5 หลังกลับจากโรงพยาบาล จากนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในอายุ 7 วัน  เวลา ตัวเหลืองเด็กจะเริ่มเหลืองจากหน้าลงไปเรื่อยๆ ถึงขา ดังนั้น ควรรีบพามาพบแพทย์โดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้เด็กมีอาการผิดปกติ ชักเกร็งและพัฒนาการช้ากว่าเด็กปกติได้

          3. การดูดนม

          ปกติ เด็กแรกเกิดจะดูดนมประมาณ 1 - 2 ออนซ์ต่อครั้ง ขึ้นกับขนาดน้ำหนักตัวเด็ก โดยใช้เวลาในการกินนมไม่เกินครึ่งชั่วโมง จากนั้นเด็กจะหลับไปแล้วตื่นมาอีกครั้งประมาณ 3 ชั่วโมง ในกรณีกินนมแม่ เด็กอาจจะดูดบ่อยทุก 1 - 2 ชั่วโมง และใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที หากผิดปกติจะมีอาการ คือ ลูกดูดนมน้อยลง ซึม หรือร้องกวน จะใช้เวลาในการดูดนมนานกว่าปกติ หรือดูดนมแล้วมีอาการหอบเหนื่อย หากมีอาการดังกล่าวควรรีบพามาพบแพทย์

          4. ระบบขับถ่าย

          ช่วง 2 - 3 วันแรกเด็กจะถ่ายเป็นสีเทา จากนั้นจะกลายเป็นสีเหลืองทอง ถ้ากินนมแม่จะถ่าย เป็นฟอง หรือเป็นเม็ดมะเขือปนน้ำเนื้อเละๆ โดยถ่ายวันละ 6 - 10 ครั้ง ถ้ากินนมผสมจะถ่าย วันละ 2 - 3 ครั้ง ขึ้นกับชนิดของนมผสมที่รับประทาน

          ถ้า 2 - 3 วันแล้วไม่ถ่ายเลยและมีอาการท้องอืดบวม ดูไม่สบายตัว ประกอบกับมีอาการ อาเจียนร่วมด้วย ต้องระวังภาวะลำไส้อุดตันแต่กำเนิด ควรรีบมาพบแพทย์ หรือถ้าอุจจาระมีมูก มีเลือดปน ควรพามาพบแพทย์ทันที อาจมีภาวะติดเชื้อในลำไส้หรือเกิดภาวะแพ้นมวัวได้

          5. อาการชัก

          ปกติ เด็กวัยนี้จะมีการสะดุ้ง ผวา สะอึก หรือมีภาวะแขนขาสั่น แต่จับแล้วจะหยุด พอปล่อยอาจจะมีอาการสั่นๆ อีกเล็กน้อย อาการที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด อาจมีอาการแค่เกร็ง ตาลอยและกะพริบตาถี่ๆ กำมือเหมือนว่ายน้ำ ขาถีบสูงเหมือนปั่นจักรยาน ปากจะขมุบขมิบคล้ายดูดนมตลอดเวลาขณะที่ตาลอยค้าง อาการ แบบนี้ควรต้องรีบพามาพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจมีความผิดปกติทางสมอง โรคทางเมตาบอลิก หรือมีการติดเชื้อได้

          เพราะ ลูกน้อยคือหัวใจของพ่อแม่ หากได้รับการเอาใจใส่ที่ดีตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ลูกน้อยย่อมมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดีสมวัยอย่างแน่นอน





ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

พบเด็กไทยบริโภคอาหารไม่สมดุลแนะสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้องก่อนสาย

พบเด็กไทยบริโภคอาหารไม่สมดุลแนะสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้องก่อนสาย

เด็กไทยในเมืองเสี่ยงสูงต่อการ ด้อยพัฒนาการทางกายและสมองจากการบริโภคอาหารไม่สมดุล ทำให้ขาดวิตามินและเกลือแร่ แต่ได้รับไขมันและคาร์โบไฮเดรตเกิน นักวิชาการแนะคุณพ่อ-คุณแม่เร่งปรับพฤติกรรมการบริโภคของลูก เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนก่อนสายเกินแก้
ดร.ภญ.มาลิน จุลศิริ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คณะเภสัชกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิด เผยว่า ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็กวัยซนกำลังน่าเป็นห่วง เพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้หลายครอบครัวต้องซื้ออาหารจานด่วนซึ่งส่วน ใหญ่ขาดความสมดุลทางโภชนาการให้เด็กบริโภคอยู่ประจำ อีกทั้งเด็กจำนวนไม่น้อยนิยมบริโภคขนมและดื่มน้ำอัดลมจนติดเป็นนิสัย บ่อยครั้งเด็กเกิดปัญหาขาดสารอาหารที่จำเป็น ขณะเดียวกันเกิดปัญหาของโรคอ้วน ในช่วง 10ปีที่ผ่านมา
"การเกิดปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก นอกจากส่งผลต่อการพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาของเด็กแล้ว ถ้าปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยไม่รีบแก้ไข จะส่งผล ต่อสุขภาพของเด็กดังกล่าวเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย โดยจะเกิดปัญหาของโรคเรื้อรังง่ายขึ้น เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อม เป็นต้น"
ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก แก้ไขไม่ยาก เพียงแต่ปฏิบัติการด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้ ให้เด็กบริโภคอาหารที่เหมาะสม ทุกวันโดยเฉพาะอาหารมื้อเช้า ให้บริโภคอาหารที่มีคุณค่าและในปริมาณที่เพียงพอ ถ้าไม่แน่ใจว่าเด็กจะบริโภคอาหารได้อย่างสมดุลทั้งในด้านคุณค่าสารอาหารและ ปริมาณสารอาหาร การให้เด็กบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มเติม เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กมีโอกาสได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการ พัฒนาการของเขา
"ที่สำคัญ คุณพ่อ-คุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีโดยการบริโภคอาหารเช้า ซึ่งควรเน้นผักผลไม้เหมือนของเด็ก ถ้าเป็นไปได้ ควรบริโภคพร้อมเด็ก เพื่อจะได้คอยสังเกตพฤติกรรม มีโอกาสคอยสอน และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน การทำเช่นนี้ ปัญหาการบริโภคอาหารของเด็กที่ต้องการสารอาหารจำเป็นจะลดลง"
ในส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่เป็นตัวช่วยในการแก้ไขปัญหาโภชนาการในเด็ก ควรพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามิน และเกลือแร่ที่จำเป็นสำหรับเด็ก เช่น วิตามินบีชนิดต่างๆ ธาตุเหล็ก ฯลฯ รวมทั้งมีกรดอะมิโนจำเป็น เช่น ไลซีน ฯลฯ เพื่อนำไปใช้เป็นองค์ประกอบในการสร้างโปรตีน นอกจากนี้ สารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำตาลหวานและไขมัน เช่น โอลิโกแซซคาไรด์ ฯลฯ ซึ่งถูกจัดเป็นใยอาหารชนิดละลายด้วย ยังมีประโยชน์ช่วยการขับถ่าย
"รสชาติหวานอร่อย และกลิ่น น่ารับประทาน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กชอบไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่แตะลิ้นได้ ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจึงมักให้มีรสหวานและกลิ่นหอม ในส่วนนี้ คุณพ่อ-คุณแม่หรือผู้ปกครองต้องดูว่า ความหวานในผลิตภัณฑ์นั้นมาจากน้ำตาล หรือไม่ ถ้าใช่น่าจะพิจารณาให้ดี เพราะการบริโภคบ่อยๆ อาจเกิดปัญหาจากน้ำตาล ในผลิตภัณฑ์ได้ เช่น เกิดเป็นกรดในน้ำลาย และก่อปัญหาฟันผุในภายหลัง ฯลฯ"
ถ้าไม่เร่งปรับพฤติกรรมการบริโภค อาหารที่ถูกต้องให้เด็กในวันนี้ เราอาจต้อง รับมือกับภาวะประชากรที่ขาดสุขภาพดีในวันหน้า ก็เป็นได้
        

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เคล็ดลับการนอน นอนอย่างไร จะทำสมองใสยามเช้า

เคล็ดลับการนอน นอนอย่างไร จะทำสมองใสยามเช้า

หนุ่ม-สาววัยใสที่มักมีอาการสมอง ตื้อ ระหว่างวันความคิดแล่นช้า ขณะเดียวกัน ยังมีอารมณ์ขุ่นมัวร่วมด้วย ลองรีสตาร์ท (Restart) ระบบร่างกายตั้งแต่ก่อนนอน ด้วย “5 เคล็ดลับ” ต่อไปนี้
เริ่มจากอาบน้ำอุ่นก่อนนอน จะทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น ระหว่างนั้น อาจหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ปริมาณเล็กน้อยลงอ่างน้ำ ซึ่งมีคุณสมบัติระงับประสาทให้รู้สึกสงบ และผ่อนคลาย ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ ทั้งยังช่วยคลายอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ด้วย
เลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้หลับไม่ลง อย่าง คาเฟอีน นิโคติน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสหวาน จากกาแฟ, ชา, โคล่า, โกโก้, ช็อคโกแลต สูบบุหรี่ รวมทั้งไม่รับประทานมื้อหนักก่อนนอนอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง หากหิวควรทานนมอุ่น ๆ ดีกว่า
ชั่วโมงก่อนนอนไม่ควรออกกำลัง เพราะมีผลกระตุ้นกล้ามเนื้อ โดยร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้หลับยาก ทั้งนี้ การออกกำลังกายช่วงเช้า หรือเย็น ประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินสารเคมีที่สร้างจากสมอง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ทั้งนี้ จากรายงานของหน่วยงานที่ศึกษาด้านการนอนหลับ ของสหรัฐฯ พบว่า การสัมผัสกับแสงไฟนีออนยามนอน ส่งผลต่อคุณภาพการหลับลดลง โดยแสงดังกล่าว จะไปกดการทำงานของเมลาโทนินฮอร์โมนตามธรรมชาติ ซึ่งควบคุมการนอนหลับ ดังนั้น ไม่ควรเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืน
เมื่อตื่นนอนตอนเช้า ใช้เวลา 5 นาทีออกไปรับลม และแสงนอกระเบียง หรือหน้าต่าง จะกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น อารมณ์แจ่มใส สมองตื่นตัว เพียงเท่านี้ก็บอกลาอาการง่วงซึมระหว่างวันได้แล้ว แนะนำวัยเรียนลองไปพิสูจน์กันดู.


ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามดารา
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

"ขนมจีนน้ำยา" ทานเป็นยา

"ขนมจีน" เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเส้นชนิดหนึ่งที่แปรรูปจากข้าว และคนไทยนิยมบริโภคกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะงานบุญและเทศกาลต่างๆ มีการผลิตเส้นขนมจีนกันแพร่หลายในทุกภาค แต่ละภาคนิยมบริโภคกับอาหารประเภทแกงที่มีส่วนผสมแตกต่างและหลากหลาย

"ขนมจีนน้ำยา" ทานเป็นยา

ปัจจุบัน "ขนมจีนน้ำยา" ยังเป็นอาหารจานเดียวนิยมกันทุกภาค ทั้งที่เป็นอาหารทั่วไปและเป็นอาหารจัดเลี้ยงในงานบุญงานพิธีต่างๆ ขนมจีนจัดเป็นเมนูนิยมสำหรับชาวต่างชาติด้วย ถึงขนาดเรียกขานขนมจีนของไทยว่าสปาเกตตี้ไทยแลนด์เลยทีเดียว

ส่วนประกอบหลักของขนมจีนน้ำยาคือ เส้นขนมจีน น้ำยา และผักเครื่องเคียง เครื่องแกงจะคล้ายกับแกงคั่วคือ ใส่พริกแห้ง เกลือ ตะไคร้ ข่า หัวหอม กระเทียม กะปิ และกระชาย เครื่องแกงน้ำยาจะไม่ใส่ผิวมะกรูด รากผักชี และพริกไทย แต่จะใส่กระชายลงไปเป็นจำนวนมากเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อปลา

ผักเครื่องเคียงในขนมจีนนั้นมากมายด้วยเส้นใยอาหาร และยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรในตัวอีกด้วย เช่น "ผักชีฝรั่ง" มีกลิ่นหอมสดชื่น ช่วยตัดรสเลี่ยน ดับกลิ่นเนื้อสัตว์ในอาหารอีกทั้งมีสารเบต้าแคโรทีน ช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินเอ

ช่วยบำรุงสายตาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทั้งระบบ มากด้วยวิตามิน บี 1 บี 2 และไนอาซีนช่วยให้ระบบร่างกายสมดุล นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสอีกด้วย

"พริก" ไม่ว่าจะเป็นพริกคั่วหรือพริกสดมีสารแคปไซซีน (Capsaicin) และไดไฮโดรแคปไซซีน (Dihhydrocapsaicine) การรับประทานพริก มีผลต่อระบบทางเดินอาหาร เป็นยาขับลมบำรุงธาตุช่วยให้เจริญอาหารช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ทั้งยังช่วยเพิ่มรสชาติในการทานน้ำยาให้เผ็ดร้อนถึงใจยิ่งขึ้นด้วย

"ใบสะระแหน่" เป็นผักกลิ่นหอมเย็น มีคุณสมบัติช่วยขับเหงื่อ ช่วยย่อยอาหารมีสารเบต้าแคโรทีน กับวิตามินซี บำรุงสายตา บำรุงหัวใจ

ช่วยไม่ให้เป็นหวัดง่าย ส่วน "โหระพา" ช่วยแต่งกลิ่นขนมจีนน้ำยาให้หอม เสริมรสชาติให้เผ็ดร้อนขึ้นอีกเล็กน้อยช่วยเจริญอาหาร ขับเหงื่อและเสมหะ ขับพยาธิ แก้ท้องอืด

ช่วยขับลม ขับปัสสาวะ แก้ไข้และอาการปวดศีรษะ

นอกจากนี้ ขนมจีนน้ำยายังนิยมทานกับ "หยวกกล้วย" หรือ "หัวปลี"ที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงน้ำนมสำหรับสตรีที่คลอดบุตรใหม่ๆ เพราะมีสารแทนนินซึ่งจะยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค นอกจากนี้ยังมีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซีอีกด้วย ขนมจีนน้ำยาจัดเป็นเมนูอาหารที่หาทานได้ง่าย ไม่ว่าจะตามร้านค้าแผงลอย ตลาดสด งานวัด แม้แต่ในห้างสรรพสินค้าก็มีให้เลือกรับประทาน แต่ที่สำคัญเราต้องทานกับผักเครื่องเคียงด้วย จึงจะเรียกว่าได้ประโยชน์ครบครัน
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

อันตราย! สินค้าหลอกลวงเกลื่อนเมืองสื่อดาวเทียมตัวแพร่ระบาด

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หลายคนคงเคยผ่านตากับโฆษณาฮาร์ด เซลส์ประเภทลงท้ายด้วย "8,000 เราไม่ขาย! 7,000 ไม่หรอก! เราเสนอให้คุณเพียง 4,990 บาทเท่านั้น! แต่ช้าก่อน! หากคุณโทร.เข้ามาใน 10 นาทีนี้ รับทันที! มูลค่า 2,000 บาทขอย้ำ!"

ยิ่งทุกวันนี้ทีวีดาวเทียมเข้าถึงแทบจะทุก หลังคาเรือน ทำให้การโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทนี้ดูจะฮาร์ดเซลส์มากขึ้น และต่างก็แข่งขันกันเพิ่มความน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งสรรพคุณราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์

อันตราย! สินค้าหลอกลวงเกลื่อนเมืองสื่อดาวเทียมตัวแพร่ระบาด

แม้จะมีการร้องเรียน มีความไม่ชอบมาพากลอยู่มากมาย สินค้าเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ มันเป็นข้อบ่งชี้ว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือที่เรียกกันว่า อาหารเสริมพวกนี้ขายได้ และการโฆษณาแบบฮาร์ดเซลส์พวกนี้ยังมีคนหลงเชื่อ หลงทดลองเพื่อค้นหาสิ่งที่จะมาช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นออกจากปัญหาที่ตัวเองเจอ อยู่

เท่านั้นยังไม่พอ การโฆษณาชวนเชื่อของผลิตภัณฑ์มหัศจรรย์พวกนี้ ยังลุกลามไปถึงวิทยุ หรือแม้ฟรีทีวีโดยที่กลไกการจัดการปัญหาไม่สามารถทำอะไรการโฆษณาที่รู้ๆ กันว่าหลอกลวง เกินจริง และทำให้ผู้บริโภคที่หลงเป็นเหยื่อเสียหายได้เลย

หลากผลิตภัณฑ์อวดอ้างเกินจริง

ในท้องตลาดตอนนี้มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอยู่มากมายและต่างก็มีกลเม็ดโฆษณา ทำการตลาดแตกต่างกันไป สิ่งที่เป็นจุดเดียวกันคือการมีสรรพคุณที่ดูดีเกินจริง โดยมักจะมีคำอธิบายในแบบของตัวเอง ซึ่งอาจสามารถแบ่งได้ 2ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน คือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณด้านความงามและเรื่องเพศ กับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณด้านสุขภาพหรือรักษาโรคเรื้อรัง

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณด้านความงาม และเรื่องเพศ มีตั้งแต่สรรพคุณประเภททำให้ผิวขาวได้ในสิบสี่วัน รูปร่างกระชับ ผิวพันธ์มีน้ำมีนวลมากขึ้น มีอาหารเสริมเรียกเป็นโปรแกรมโดยมีสรรพคุณในการลดความอ้วนซึ่งมักจะบอกว่า ตัวเองไม่ใช่ยาลดความอ้วน แต่เป็นอาหารเสริมซึ่งอ้างว่า ไม่ต้องออกกำลังกาย แค่กินผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้วจะสามารถลดความอ้วนได้ บางตัวก็อ้างว่า ช่วยกระชับช่องคลอด โดยมีสโลแกนที่สองแง่สามง่ามว่า สวยใสภายในกระชับ

อีกผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายกันอย่างคือผลิตภัณฑ์เสริมความงามอย่างครีม บำรุงผิวทรวงอก โดยมักจะอ้างสรรพคุณว่าสามารถทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งส่วนมากมีส่วนผสมของกวาวเครือ ขณะที่สำหรับหนุ่มๆ ก็มีสเปรย์ฉีดเพิ่มขนาดอวัยวะเพศที่มีสรรพคุณในการกระตุ้นการไหลเวียนของ เลือด ทำให้แข็งขันอดทน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณด้าน สุขภาพหรือรักษาโรคเรื้อรัง มีสรรพคุณในการรักษาโรคที่หลากหลาย บำรุงอวัยวะภายในลำไส้ ต่อมต่างๆ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหลายชนิดอ้างว่า รักษาโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน ความดัน หรือแม้แต่มะเร็งได้ และบ้างก็สามารถแก้ไขอาการทางสุขภาพเล็กๆ น้อยๆ อย่างอาการปวดหลัง ปัสสาวะขัด

ในส่วนของการโฆษณาจะมีการใช้ดาราที่มีชื่อเสียงไม่มาก แต่พอให้มีความน่าเชื่อถือออกมาการันตีถึงตัวผลิตภัณฑ์ พร้อมกันนั้นก็จะมีตัวอย่าง   ผู้ใช้ที่ออกมาพูดขอบคุณผลิตภัณฑ์นั้น พร้อมทั้งแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อตัวสินค้า และแสดงให้เห็นว่าผลของการใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนั้นเป็นอย่างไรผ่านทางรูปร่างที่ ดูดี

จากนั้นอาจมีการอ้างอิงผลสำรวจ หรือการวิจัยบางอย่างที่ดูน่าเชื่อถือถึงประสิทธิภาพของอาหารเสริมนั้นๆ ต่อด้วยคำโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้สั่งซื้อ แล้วท้ายสุดก็ปิดฉากโฆษณาด้วยโปรโมชั่นอย่างโทร.มาในสิบนาทีนี้จะลดพิเศษ พร้อมของแถมจูงใจการซื้อ

ซึ่งผลของการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นเป็นไปได้ที่ผู้ใช้ส่วนหนึ่งอาจได้ผลลัพธ์ ที่พอใจ แต่ก็พบกรณีร้องเรียนมากมายถึงการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด กฎหมายไม่สามารถกระทำอวดอ้างได้ ทว่าปัญหาก็คือตอนนี้ยังไม่มีกลไกการลงโทษที่ทำให้โฆษณาเหล่านั้นหายไป เสียที

อันตรายที่ต้องรู้เท่าทัน

คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับการร้องเรียนมากกว่า 100กรณีต่อ 1เดือนซึ่ง ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยาเผยว่า จากข้อมูลที่แยกเป็นประเภทของลักษณะการทำผิดกฎของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพบว่า การโฆษณาอวดอ้างถือเป็นกรณีที่มีการร้องเรียนมากที่สุด

"ประเด็นเรื่องโฆษณานี่เยอะที่สุด สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะอาหารไม่ใช่ยา เราไม่ให้โฆษณาสรรพคุณทางยา แต่ส่วนใหญ่แล้วทำขึ้นมาจะต้องโฆษณาสรรพคุณใช้ป้องกันรักษาได้ ซึ่งก็จะโอ้อวดเกินจริงทั้งสิ้น"

นอกจากนี้ก็มีการร้องเรียนเรื่องแหล่งผลิตยาปลอม เลขใบอนุญาตปลอม ซึ่งหลายครั้งก็ขยายผลไปสู่การดำเนินคดีและจับกุมปราบปราม โดยผลิตภัณฑ์อาหารอ้างสรรพคุณประเภทยา อย่างเช่น กาแฟลดความอ้วนหรือเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เธอเผยว่า หากใช้ได้ผล เป็นไปได้ที่จะมีการลักลอบใส่ยาเข้าไปซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้

ทั้งนี้มาตรการในการดำเนินการลงโทษนั้นมีตั้งแต่ระงับโฆษณา และดำเนินคดีเปรียบเทียบปรับ ซึ่งหากไม่หยุดโฆษณาก็จะมีโทษที่หนักขึ้น โดยโฆษณาเหล่านี้จะพบเห็นบ่อยตามช่องทีวีเคเบิลดาวเทียม ในทางปฏิบัติก็มีการร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ในการควบคุม ทว่ากลับไม่มีอำนาจมากนัก เพราะยังคงพบการผ่าฝืนอย่างต่อเนื่อง

ในประเด็นการควบคุมลงโทษนั้น สารี อ่องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยว่า แม้อย.ร่วมกับกสทช.สั่งห้ามโฆษณาเหล่านี้ในสื่อทุกประเภท ทว่าในทางปฏิบัติอย่างการเผยแพร่สัญญาณนั้นจำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือ จากบริษัท ไทยคม จำกัดในการตัดสัญญาณเพื่อปิดสถานีที่ฝ่าฝืนกฎ

"มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเคยร่วมกับเครือข่ายที่ทำเรื่องคุ้มครองผู้บริโภค 16จังหวัด สำรวจการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหาร และเสริมอาหารทั้งหลายที่ไม่เหมาะสม ผิดกฎหมาย ไม่ขออนุญาตโฆษณา ซึ่งพบว่า มันมีปัญหาเยอะ แล้วเราก็เร่งผลักดันให้คณะกรรมการอาหารและยาอย่างที่ทำแล้วสำเร็จ(กับกรณี รังนกร้อยเปอร์เซ็นต์) และทาง กสทช.ได้เสนอให้ห้ามโฆษณาแล้ว แต่ก็ยังพบว่ามันก็ยังมีการโฆษณากันอยู่ เขาได้ขอความร่วมมือไปที่ไทยคม"

ต่อประเด็นนี้เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเห็นว่า ไทยคมมีความรับผิดชอบต่อกรณีนี้น้อยเกินไป โดยอ้างว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ แต่ความจริงแล้วหากไทยคมพบว่า สถานีต่างๆ ยังมีการโฆษณาโดยไม่ขออนุญาต หรือโฆษณาที่ไม่เป็นจริง ก็สามารถให้ปิดรายการหรือปิดสถานีได้เลย

"ไทยคมต้องดำเนินการตามนั้น หากไทยคมจะอ้างว่าตัวเองได้สัมปทานจากไอซีทีไม่ต้องทำตามกฎหมาย มันไม่ได้ เพราะว่าไทยคมเป็นคนดูแลหรือควบคุมโฆษณาของพวกนี้ผ่านพวกช่องดาวเทียมโดยตรง ขณะเดียวกัน กสทช. ก็จะบอกว่าขณะนี้ยังไม่ได้มีกติกาที่กำกับดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จริงๆ เขาได้มีความร่วมมือกับ อย. ดังนั้น เคเบิลทีวีที่เป็นเท็จหลอกลวง มันทำไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้นเราก็อยากให้ไทยคมร่วมมือ รวมถึงรายการที่เป็นโฆษณาที่ทางเคเบิลทีวีทั้งหลายด้วย"

สิ่งที่สำคัญคือ อย.กับ กสทช.ต้องมีเครื่องมือในการบังคับลงโทษ หากมีเพียงคำสั่งห้ามแต่ไม่มีกลไกที่ในการติดตาม การดำเนินการก็ไร้ผล และโฆษณาที่ชวนเชื่อเกินจริงก็ยังคงอยู่ ในส่วนของทางออกต่อเรื่องนี้เธอเห็นว่าผู้บริโภคเองต้องมีสติและรู้เท่าทัน ต่อการโฆษณาชวนเชื่อที่เกิดขึ้น

"ถ้าผลิตภัณฑ์ที่เป็นอาหารแต่โฆษณาเป็นยา อันนี้หลอกลวงแน่นอน เพราะถ้าได้ผลต้องขึ้นเป็นยา ผู้บริโภคต้องคิดว่า เรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องของเรา ถ้าสมมติ คนส่วนหนึ่งเขาอยากรู้ว่าจริงไม่จริง ถ้าจริงก็อยากใช้ ไม่จริงก็ไม่ใช้ คนพวกนี้ก็อยากมีข้อมูล แต่พี่คิดว่า มันพิสูจน์มาเยอะ มันเริ่มตั้งแต่ น้ำลูกยอ คอลลาเจน มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เยอะแยะไปหมด เปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ พอถูกจับอันนี้ก็เปลี่ยนเป็นอันโน้น พวกนี้ส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ได้มันก็ไปเชื่อมโยงกับความโลภของคนที่ใช้กลไกส่ง เสริมการขายที่ให้ค่าตอบแทนที่สูง มันอาจจะทำให้ตัวผลิตภัณฑ์หมดไปยาก เราจะทำให้คนตื่นตัวเท่าทันเรื่องนี้ยังไง"

ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับความเห็นของ ดร.เกียรติอนันท์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่เผยว่ามูลค่าทางการตลาดของธุรกิจผลิตเสริมอาหารสูงถึงปีละหนึ่งหมื่นล้าน บาท โดยสามารถแบ่งได้ตามรายได้ของกลุ่มลูกค้าซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พบ ปัญหามากที่สุดคือ กลุ่มของผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งมักจะมีการทำการตลาดของผลิตภัณฑ์เป็นประเภทตีหัวเข้าบ้าน ทำกำไรระยะสั้นแล้วเลิกกิจการหรือเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแบรนด์มาลงตลาดใหม่

"กลุ่มที่มีรายได้สูงเขาก็มีเงินซื้อผลิตภัณฑ์ดีๆใช้ แต่กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยเขาก็อยากจะมีสุขภาพดี อยากดูแลตัวเองเหมือนกัน แต่เขามีรายได้น้อยดังนั้นเขาจึงมองหาผลิตภัณฑ์ที่ราคาไม่สูงนัก และสามารถตอบโจทย์เขาได้"

ทั้งนี้หากมองในด้านกำไร ถ้าทำให้ผลิตภัณฑ์ออกมาดี ตอบโจทย์ได้ก็คงต้องใช้ต้นทุนที่สูง เขาจึงประเมินว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักใช้กลยุทธ์ตีหัวเข้าบ้าน โดยผลิตสินค้าในจำนวนมากแต่ต้นทุนต่ำแล้วขายเพื่อให้ได้กำไรต่อหน่วยสูงๆ ทำกำไรในระยะสั้น ผลิตมา 100กล่อง ขายได้ 5-10กล่องก็ไม่ขาดทุนแล้ว โดยกลยุทธ์นี้จะควบคู่ไปกับกลยุทธ์ด้านราคา การจูงใจแบบฮาร์ดเซลส์ทั่วไปที่ใช้ได้กับกลุ่มคนที่ไม่ค่อยระมัดระวังในการ ซื้อสินค้านัก

ในการเป็นผู้บริโภคนั้น เขาทิ้งท้ายถึงข้อแนะนำว่า น่าจะเริ่มจากร้านที่น่าเชื่อถือได้ก่อน โดยถ้าจะให้ดีที่สุดอาจคุยกับแพทย์ก่อน หรือซื้อจากร้านยาที่ขายอาหารเสริมด้วย

"ถ้าปรึกษาหมอก่อนได้ก็ดี เพราะอาหารเสริมพวกนี้ถ้ากระบวนการผลิตไม่ดีนิดนึง มีสารตะกั่วอยู่ข้างใน แทนที่เราจะสุขภาพดีก็กลายเป็นมะเร็งได้ กลายเป็นโทษมากกว่า"

.....จากการที่กลไกการควบคุมโฆษณานั้นไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงผู้ที่จ้องฉกฉวยโอกาสทางธุรกิจ ทำมาหากินบนการหลอกลวงหนทางที่เปิดกว้างให้เห็นกำไร และความสำเร็จชนิดตีหัวเข้าบ้าน ทำให้โศกนาฏกรรมอย่างการกินอาหารเสริมที่เชื่อว่าจะรักษาโรค แต่กลับยิ่งทำให้โรครุมเร้าหนักขึ้นอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ท้ายที่สุดแล้วเรื่องของสุขภาพ และการเลือกบริโภคก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้บริโภคเองที่จำเป็นจะต้องรู้เท่าทัน ต่อตัวสินค้า และต่อคำหลอกลวงโฆษณาเกินจริง







ที่มา:หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการรายวัน

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks