น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

"น้ำฝักคูน" ยาระบายช่วยปรับสมดุลลำไส้

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

อาการท้องผูกเป็นปัญหาทาง สาธารณสุขที่พบได้ประมาณร้อยละ 5-20 ซึ่งวิธีการรักษาโดยทั่วไปคือ การรับประทานยาระบาย แต่การใช้ยาระบาย ทำให้เกิดการระคายและกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้  จนลำไส้เกิดความเคยชินทำให้ต้องเพิ่มขนาดการใช้ยามากขึ้นเรื่อยๆ และไม่สามารถหยุดยาได้

"น้ำฝักคูน" ยาระบายช่วยปรับสมดุลลำไส้

ปัญหาการใช้ยาระบายที่ไม่เหมาะสม และผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทางมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร  จึงได้พัฒนายาระบายจากเนื้อฝักคูนและสมุนไพรหลายชนิด เพื่อปรับระบบการขับถ่ายให้สมดุล  ปัจจุบันยาระบายจากเนื้อฝักคูนเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาของโรงพยาบาลเจ้าพระยา อภัยภูเบศร

จากการติดตามผลของการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีสภาวะหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก ทำให้ร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และมีปัญหาตามมาคือ มีอาการท้องผูกเรื้อรัง และมีการใช้ยาระบายชนิดอื่นๆ มาแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลพบว่าผู้ป่วยทุกคนสามารถขับถ่ายได้ดี หลังจากรับประทานยาระบายผสมน้ำฝักคูนแล้ว 6-8 ชั่วโมง  โดยไม่มีอาการปวดมวนท้อง และท้องเสีย

ตำรับยาระบายน้ำฝักคูน เกิดจากการค้นคว้า วิจัยบนฐานความคิดของการแพทย์แผนไทย  ที่ให้ความสำคัญกับ "สมดุล" และการคัดสรรส่วนผสมของสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยระบายในกลไกที่ต่างกัน เพื่อช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน  ลดผลข้างเคียงของยาสมุนไพรแต่ละชนิด และไม่ทำให้เกิดการพึ่งพิงยา  ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไซ้ท้อง ปวดบิด และท้องเสีย มีสรรพคุณช่วยในการปรับสมดุลของลำไส้ ปรับระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ไม่ก่อให้เกิดความเคยชินของลำไส้ ทำให้ไม่ต้องเพิ่มขนาดของยา

ตำรับยาระบายน้ำฝักคูน ประกอบด้วย

เนื้อในฝักคูน มีสารประเภทแอนทราควิโนน (Anthraquinones) ปรับระบบการทำงานของลำไส้ทำให้การขับถ่ายดีขึ้น อุดมไปด้วยน้ำตาล วิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโนแอซิด ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จึงเป็นยาระบายที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ที่ไวต่อการสูญเสียเกลือแร่จากการรับประทานยาระบาย

ตรีผลา ประกอบด้วย ผลสมอไทย ผลสมอพิเภก  ผลมะขามป้อม มีสรรพคุณช่วยทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น เหมาะกับผู้ป่วยที่ท้องผูกเรื้อรัง แต่ในกรณีท้องผูกเรื้อรังการใช้สตรีผลาอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ

ใบมะกา  ตำรับยาไทยใช้เป็นยาถ่ายเสมหะโลหิต (เป็นเมือกของเสียที่ติดอยู่ตามลำไส้ ซึ่งจะมีความร้อนอยู่ ) มีงานวิจัยพบว่า เป็นยาระบายที่มีประสิทธิภาพดีเทียบฤทธิ์เท่ากับมะขามแขก

ดีปลี เพิ่มไฟธาตุในการย่อยอาหาร ลดการกำเริบของลม อันเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาระบาย (การรับประทานยาระบายจะทำให้มีลมในท้อง การย่อยอาหารจะไม่ดี)

มะขามเปียก ความเปรี้ยวจะช่วยขับคูถเสมหะให้ลงสู่คูถทวาร  การขับถ่าย คือ หัวใจของการมีสุขภาพที่ดี มีพลังชีวิตที่ดี ดังนั้น อาการท้องผูก จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรนิ่งนอนใจอีกต่อไป เพราะการมีของเสียสะสมอยู่ในทางเดินอาหาร  เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคผนังลำไส้โป่งพอง มะเร็งในลำไส้ และริดสีดวงทวาร

วิธีที่จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติ  จะต้องประกอบไปด้วย การรับประทานอาหารที่มีกากใย มีความชุ่มชื้น การให้ความสำคัญกับการขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา  งด ชา กาแฟ ดื่มน้ำให้เพียงพอ การรับประทานสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มกลไกการบีบตัวของลำไส้และการออกกำลังกาย บริหารโยคะหรือฤาษีดัดตน  ซึ่งช่วยในการบีบตัวของลำไส้ นั่นเอง

รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร โทร. 0-3721-1289         





ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

คราม แก้ไข้ ดับพิษ สวมใส่สวยงาม และป้องกันรังสี ยูวี!

โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง ของมูลนิธิสุขภาพไทย (www.thaihof.org) เปิด บูธในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 9 ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ชมความมหัศจรรย์ของผ้าย้อมคราม และตำรับยาจากคราม ถ่ายทอดความรู้นี้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

คราม แก้ไข้ ดับพิษ สวมใส่สวยงาม และป้องกันรังสี ยูวี!

ศาสตร์ศิลป์ของการมีสุขภาพดี ต้องบอกว่าภูมิปัญญาบ้านเรามีความร่ำรวยและรู้จักใช้หลากหลายวีธีมาก เราอาจ คุ้นเคยกับ อาหารเป็นยา เครื่องดื่มเป็นยา นวดก็เป็นยา แต่รู้ไหมว่า "ผ้า" ก็เป็นยา ซึ่งคนรุ่นเราหลงลืมและละเลยกันไปแล้ว

แต่โบราณมีสมุนไพรที่ทำให้ผ้าเป็นยาซึ่งใช้กันแพร่หลาย คือ คราม ที่นำมาย้อมผ้าและหมอพื้นบ้านเรียกว่า ผ้าย้อมนิล เพื่อนำผ้ามาใช้ห่อลูกประคบ ซึ่งหมอพื้นบ้านให้ความสำคัญกับฤทธิ์ทางยาของผ้าครามนี้ ในการปรุงเป็นยาประคบ ยาย่างไฟ ของหมอยาอีสาน

คราม แก้ไข้ ดับพิษ สวมใส่สวยงาม และป้องกันรังสี ยูวี!คราม (Indigofera tinctoria  L.) เป็นพืชที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งที่มนุษย์รู้จักนำมาปลูกและใช้ประโยชน์  มีหลักฐานการใช้ย้อนไปกว่า 6,000 ปี ครามเป็นพืชที่คนไทยรู้จักดีไม่ว่าอยู่ภาคไหนต่างเรียกชื่อตรงกัน นำมาย้อมสีผ้า ได้สีฟ้าเข้มหรือเรียกว่า สีคราม นั่นเองแต่คนอีสานเรียกว่า ผ้าหม้อนิล เพราะหม้อที่ใช้ย้อมนั้นจะกลายเป็นสีดำ

ผ้าหม้อนิลแบบนี้คนลาว และคนตระกูลไทยทั้งไทยลื้อ ไทยแดง ไทยดำ ไทยขาว ผู้ไทย ไทยพวน ที่อยู่ในลาว ในเขมร ในเวียดนาม ก็มีผ้าหม้อนิลเป็นผ้าประจำชนเผ่า

พูดได้ว่าผ้าหม้อนิลอยู่คู่กับเผ่าพันธุ์ไทยมายาวนาน เข้าใจว่าชนชาติที่เก่าแก่ของโลก เช่น อียิปต์ มายา อินเดีย จีน ก็ใช้ครามในการย้อมผ้าเช่นเดียวกัน ครามเป็นของสากลจริงๆ

ผ้าหม้อนิลมีคุณสมบัติเด่น คือ ใส่แล้วจะรู้สึกเย็นสบายไม่ร้อน เนื่องจากผ้าหม้อนิลเป็นฉนวนกันความร้อนได้เป็นอย่างดี และขอประชาสัมพันธ์ ว่าใครสวมใส่แล้วจะช่วยลดการหมองคล้ำของผิวพรรณ หรือทำให้ผิวขาว เพราะมีงานวิจัยทั้งในอเมริกาและญี่ปุ่น พบว่าผ้าที่ย้อมด้วยครามสามารถป้องกันผิวของผู้สวมใส่จากรังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวี) ได้ ใส่แล้วยังช่วยทำให้จิตใจสงบ มีสมาธิ

ในแง่ยาสมุนไพร คราม เป็นยาแก้พิษที่ดีมาก พ่อเม่าหมอพื้นบ้านเล่าว่า เมื่อโดนพิษไม่ว่าจะเป็นยาสั่ง พิษงูกัดหรือพิษจากสัตว์มีพิษ ในยามคับขันให้หาต้นครามให้เจอ ถ้าได้ต้นครามที่ค้างปีที่เรียกว่า คามเหี้ย ยิ่งดี ให้นำใบมาตำคั้นเอาน้ำกิน และเอากากพอกแผล ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ให้หาผ้าหม้อนิลมาเคี้ยวๆ แล้วกลืนน้ำลายลงไปให้ได้มากที่สุด เพราะครามในผ้าหม้อนิลก็คือยานั่นเอง

ซึ่งประสบการณ์หมอพื้นบ้านไทยตรงกับความรู้ของการแพทย์สิททา (Siddha) ของอินเดีย ที่ยกย่องว่าครามเป็นสุดยอดของสมุนไพรแก้พิษชนิดหนึ่ง

คราม แก้ไข้ ดับพิษ สวมใส่สวยงาม และป้องกันรังสี ยูวี!คราม อยู่คู่วิถีชีวิตคนไทยมานาน เราจึงมีองค์ความรู้สมุนไพรไว้ใช้ประจำบ้าน คือ ชาวบ้านมักปลูกต้นครามไว้รอบๆ บ้าน เพื่อทำเนื้อครามไว้ใช้ในยามจำเป็น เมื่อมีบาดแผลจะใช้เนื้อครามที่เตรียมไว้ใช้ย้อมผ้ามาทาแผล ทำให้แผลหายเร็วและไม่เป็นหนองซึ่งปัจจุบันมีการวิจัยพบว่าเนื้อครามมีฤทธิ์ ฝาดสมานและฆ่าเชื้อโรคได้อย่างดี ทุกส่วนของต้นครามยังใช้เป็นยาสมุนไพร เช่น ทั้งต้นใช้แก้ไข้ตัวร้อน ไข้ชัก กลุ่มชาวบ้านย้อมผ้าครามขายยังรู้ว่า ถ้าใครมีไข้ร้อนให้นำครามมาขยี้แล้วเอาน้ำทาและพอกไว้ที่ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง เพื่อลดไข้ได้ดี ครามยังแก้อักเสบ แก้ปวด ดับพิษ รากใช้ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ลดบวม เปลือกต้านพิษงู แก้พิษฝี เมล็ดแก้หิด เป็นต้น

ซึ่งมีรายงานการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สนับสนุนการใช้ คือ พบว่าครามมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ต้านการชัก ต้านมะเร็ง ต้านพิษสารหนู เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการใช้น้ำคั้นจากใบสดของครามช่วยบำรุงเส้นผม และป้องกันผมหงอกได้อีกด้วย

ผ้าหม้อนิลของคนอีสานจึงไม่ได้มีไว้สวมใส่เท่านั้น ในตำรายาใบลานซึ่งจารไว้เป็นหลักฐานสืบต่อกันมา รวมถึงวิธีการรักษาของหมอยาพื้นบ้าน มีการใช้ผ้าหม้อนิลห่อลูกประคบ ใช้ในการย่างคนป่วยตกต้นไม้ ควายชน โดยใช้เป็นผ้าคลุมตัว หรือคลุมสมุนไพรบนแคร่ก่อนให้คนป่วยนอนทับ

อาจกล่าวได้ว่าลูกประคบในตำรายาอีสานโบราณของแท้ ต้องใช้ผ้าหม้อนิลเท่านั้น และพ่อหมอพื้นบ้านเคยกล่าวว่า ถ้าหาสมุนไพรอะไรมาทำลูกประคบไม่ได้ ขอให้มีผ้าหม้อนิลอย่างเดียวก็ประคบได้ และตัวอย่างตำรับยาครามจากหมอยา อีสาน ยาแก้เจ็บสันหลัง ให้เอาฮากปิบปีแดง 1 ฮากคราม 1 ฮากซ้าพลู 1 ดีปลี 1 ขิง 1 ต้มกินสามหม้อ หายแล
        




ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ทำอย่างไรให้ลูกออกกำลังกาย

คำถามจากคุณแม่น้องสายชล ถามมาว่าปัจจุบันมีลูกชายอายุ 8 ขวบ น้ำหนักค่อนข้างมาก ประมาณ 50 กิโลกรัม ญาติๆ ชอบเอาขนมมาให้ทาน อ้วนมาตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาไม่ให้ทานก็จะร้องตลอด อยากให้ลูกชายได้ออกกำลังกายบ้าง เรียนถามหมอว่าจะต้องทำอย่างไรคะ

ทำอย่างไรให้ลูกออกกำลังกาย

ผมขอเชิญ ผศ.นพ.บวรรัฐ วนดุรงค์วรรณ แพทย์ประจำสาขาเวชศาสตร์การกีฬา ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ตอบดังนี้ครับ

ปัญหาเรื่องเด็กน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือภาวะอ้วนเป็นปัญหาที่พบได้มากใน ปัจจุบัน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารประเภทแป้งและไขมันมาก ร่วมกับการใช้เวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมที่อยู่กับที่ เช่น ดูโทรทัศน์และเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์มากเกินไป นอกจากนี้ผู้ปกครองบางส่วนยังมีความเข้าใจที่ผิดโดยเข้าใจว่า เด็กอ้วนเป็นเด็กที่แข็งแรง

ซึ่งสิ่งที่ถูกต้องคือ เด็กที่มีน้ำหนักเกินจะมีแนวโน้มของโรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบกระดูกและข้อ นอกจากนี้เด็กที่มีน้ำหนักเกินมานาน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วนในผู้ใหญ่อีกด้วย

สำหรับการลดน้ำหนักเด็กในวัยนี้ ควรจำกัดอาหารและขนม โดยเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจเริ่มจากลดปริมาณขนมในการทานแต่ละครั้งลงก่อน เมื่อทำได้ดีแล้วค่อยลดความถี่ในการให้ทาน การปรับพฤติกรรมด้านอื่นๆ ก็ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ลดระยะเวลาการดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมส์ให้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง/วัน ร่วมกับเพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกายโดยเน้นกิจกรรมการละเล่น มีการเคลื่อนไหวกลางแจ้ง รวมไปถึงกิจกรรมสันทนาการต่างๆ และการเล่นกีฬาที่เหมาะสมตามวัย เช่น ขี่จักรยาน ฟุตบอล แบดมินตัน ซึ่งกำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ หัวใจสำคัญของการส่งเสริมให้เด็กในวัยนี้มีการเคลื่อนไหวคือ เด็กต้องมีความสนุก และต้องมีเพื่อนเล่นด้วย ซึ่งอาจเป็นเพื่อนในวัยเดียวกัน หรือสมาชิกในครอบครัวร่วมมีกิจกรรมกับเค้าด้วย ซึ่งถ้าคุณแม่น้องสายชลสามารถทำได้ทั้งการควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกาย น่าจะทำให้เด็กสามารถลดน้ำหนักลงได้

หวังว่าคงพอเข้าใจนะครับ ถ้ามีข้อสงสัยหรือคำถามประการใดเกี่ยวกับการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬากรุณา ส่งไปที่สาขาเวชศาสตร์การกีฬา ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์ฯ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ Email address : sisportsmed@hotmail.com สวัสดีครับ





ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน โดย นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ และคณะ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ปรับพฤติกรรมการ'หม่ำ'ให้ดี รู้ทัน 'มะเร็งลำไส้ใหญ่' รักษาได้

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้รายงานว่าปี 2552 มีการตรวจพบผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่รายใหม่ในประเทศไทยถึง 10.3% นับเป็นอันดับที่ 3 ของจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ทั้งหมด จำแนกออกได้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เฉพาะในเพศชาย 14.1% และเฉพาะในเพศหญิง 8.1% ถือเป็นอัตราส่วนที่สูงขึ้นกว่าในอดีต เนื่องจากวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะวัฒนธรรมการบริโภคอาหารที่คล้ายคลึงกับประเทศในแถบตะวันตกมากขึ้น

ปรับพฤติกรรมการ'หม่ำ'ให้ดี รู้ทัน 'มะเร็งลำไส้ใหญ่' รักษาได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้วว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ใช่ว่าจะหมายถึงการสูญเสียชีวิตเสมอไป ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันที่สามารถตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น อันเป็นระยะที่แพทย์ให้ความเห็นว่ายัง "รักษาให้หายขาดได้"

"ผศ.นพ.ยุทธนา ศตวรรษธำรง" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินอาหารและตับ รพ.บำรุงราษฎร์ กล่าวถึงความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ว่า "...เรายังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่จากการศึกษาพบว่าปัจจัยเสี่ยงที่มีผลโดยตรงคือ กรรมพันธุ์ และพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีสารก่อมะเร็งเป็นประจำ เช่น เนื้อแดง อาหารปิ้งย่าง รวมทั้งการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่

"90% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ คือผู้มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านั้นผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใดมาก่อนเลย แต่เราสามารถสังเกตสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ได้จากความ เปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่าย เช่น ท้องผูกหรือท้องเสียบ่อย อุจจาระมีก้อนเล็กลงหรือมีมูกเลือดปนร่วมกับอาการทางร่างกาย เช่น เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือผอมซูบซีด ดังนั้นหากคนไข้มีอาการเหล่านี้ เราแนะนำว่าควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทันที เพราะหลายครั้งเราพบว่าผู้ป่วยมักละเลยสัญญาณเตือนดังกล่าว ทำให้ระยะอาการของโรคลุกลามไปมากจนเสียโอกาสในการรักษาตัว

"การตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ได้ผลดีที่สุดซึ่งเราแนะนำให้คนไข้ทำเมื่อ อายุ 50 ปีขึ้นไป คือการส่องกล้อง (Colonoscopy) ซึ่งสามารถตรวจดูลักษณะภายในของลำไส้ใหญ่และทวารหนักได้ทั้งหมด ในตัวกล้องจะมีช่องสำหรับดูดน้ำ รวมถึงช่องใส่อุปกรณ์ในการรักษาและตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำมาตรวจ

"ส่วนวิธีการตรวจก็ไม่ต้องใช้เวลามาก แพทย์จะให้ผู้เข้ารับการตรวจกินยาระบายก่อนหนึ่งคืนเพื่อให้อุจจาระใส เกลี้ยงขึ้น แล้วเมื่อมาถึงโรงพยาบาลแพทย์จะให้ยานอนหลับ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการตรวจราว 20-30 นาที ซึ่งไม่มีอันตรายหรือความเจ็บปวดใดๆ"

หลังการส่องกล้องแล้วพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก แพทย์จะดำเนินการทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อตรวจวัดระยะอาการ (Stage of Cancer) และแสดงตำแหน่งของเซลล์มะเร็งว่ากระจายไปมากน้อยขนาดไหน ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ เพราะจะมีผลต่อการวางแผนกำหนดวิธีการรักษาในลำดับถัดไป

"แม้ว่าการตรวจผ่านกล้องจะพบว่ามีลักษณะของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่ค่อนข้างแน่นอนแล้ว แต่แพทย์ก็ยังจำเป็นต้องตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อยืนยันอีกครั้ง จากนั้นจึงเป็นกระบวนการตรวจดูมะเร็งว่าอยู่ในระยะใดผ่านซีทีแสกน เพราะการส่องกล้องอย่างเดียวจะไม่สามารถบอกได้ว่าเซลล์มะเร็งลุกลามไปยัง ตำแหน่งใดบ้าง หรือก้อนเนื้อที่พบมีรูปร่างลักษณะอย่างไร

"สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่พบตั้งแต่ในระยะแรกๆ เราสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ซึ่งทำได้ทั้งการผ่าตัดใหญ่หมายถึง การผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพื่อเข้าไปตัดลำไส้ส่วนที่มีเซลล์มะเร็งออกทั้งหมด หรืออีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คือ การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) ซึ่งใช้กับผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งขนาดเล็กและยังไม่กระจายไปยังตำแหน่งอื่น ข้อดีของวิธีนี้คือแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กแค่ประมาณ 1 เซนติเมตร ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดน้อยลงและใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน  "ในบางกรณีที่คนไข้มาพบแพทย์ช้า หรือมาในขณะที่อาการของโรคเริ่มปรากฏแล้ว เช่นเนื้องอกโตมากจนขัดขวางทางเดินของลำไส้ หรือบางรายอาจขยายปิดทางเดินในลำไส้ใหญ่จนเกิดการอุดตัน ขับถ่ายไม่ได้ กรณีอย่างนี้เราผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกทันทีไม่ได้ เนื่องจากแผลผ่าตัดจะติดเชื้อเพราะอุจจาระซึ่งอุดตันอยู่ ดังนั้นจึงต้องมีวิธีการพิเศษซึ่งแบ่งเป็น 2 วิธี คือ หนึ่งผ่าตัดเปิดหน้าท้องแล้วให้คนไข้ระบายอุจจาระออกทางหน้าท้องให้หมดก่อน โดยใช้เวลาราว 6-8 สัปดาห์ จนลำไส้ใหญ่ยุบตัวลง จากนั้นจึงตัดเนื้องอกออกแล้วต่อลำไส้กลับเหมือนเดิมได้

"วิธีที่ 2 คือการส่องกล้องไปยังจุดที่อุดตัน แล้วใช้สเต็นท์ (Stent) ถ่างบริเวณที่มีเนื้องอกออก เสร็จแล้วจึงใช้ยาระบายล้างลำไส้จนสะอาดขึ้นและมีขนาดเล็กลง หลังจากนั้น 2 วันเราก็ผ่าตัดเนื้องอกได้เลย ข้อดีของวิธีนี้คือคนไข้ไม่ต้องใส่ถุงหน้าท้อง และไม่ต้องให้ยาเคมีบำบัดในระหว่าง 6-8 สัปดาห์ที่ต้องรอให้ลำไส้ยุบ แต่ข้อเสียก็คือความยากในการทำ เพราะบริเวณลำไส้ส่วนที่อุดตันอยู่จะมีสภาพเปื่อยยุ่ยซึ่งง่ายต่อการฉีกขาด หรือทะลุได้เมื่อใส่เครื่องมือเข้าไป ดังนั้นจึงต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ที่มีประสบการณ์ในระดับหนึ่ง

"ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระที่ 3-4 ซึ่งโรคลุกลามไปมากแล้ว การรักษาก็จำเป็นต้องใช้การให้ยาเคมีบำบัดและการฉายแสงร่วมกับการผ่าตัด ควบคู่กันไป" นอกจากการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ควรเริ่มต้นเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไปแล้ว

ผศ.นพ.ยุทธนา ยังแนะนำเพิ่มเติมว่า “ตามที่บอกไว้ว่ากรรมพันธุ์คือปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ดังนั้นผู้ที่มีญาติพี่น้องหนึ่งระดับหรือระดับเดียวกัน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก่อน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองปีละ 1 ครั้งตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป หรือถ้าหากมีญาติที่เป็นตั้งแต่ในอายุน้อยๆ ก็ต้องร่นกำหนดการตรวจคัดกรองลงมาอีก 10 ปี นับจากอายุที่ญาติใกล้ชิดเริ่มเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่น มีพี่หรือน้องที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 30 ปี ผู้มีความเสี่ยงก็ควรเข้ารับการตรวจที่อายุ 20 ปี เป็นต้น ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ตรวจแล้วไม่พบมะเร็ง แต่มีติ่งเนื้อปรากฏขึ้นในลำไส้ใหญ่ พวกนี้ควรส่องกล้องซ้ำทุก 1-3 ปี เพราะติ่งเนื้อชนิดหนึ่งจะใช้เวลาประมาณ 10 ปีในการเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง

“จริงๆ แล้วการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การตรวจเลือดหาค่า CEA การตรวจอุจจาระ การตรวจเอกซเรย์สวนแป้ง (DCBE) โดยแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียมากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่วิธีที่ได้ผลดีที่สุดที่เราอยากแนะนำก็คือการส่องกล้อง เพราะแพทย์จะมองเห็นภาพได้ชัดเจน ซึ่งง่ายต่อการดำเนินขั้นตอนอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หากพบก้อนเนื้อ แพทย์จะสามารถประเมินขนาด ตำแหน่ง ลักษณะของโรค และตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำมาตรวจด้วยซีทีสแกนอีกครั้งหนึ่ง จึงถือว่าเป็นวิธีการที่เหมาะสมต่อการตรวจวินิจฉัยโรค และการวางแผนกำหนดวิธีการรักษาได้ในที่สุด"

ขอจบด้วย "อโรคยา ปรมา ลาภา...ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ"

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks