น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

เตือนพ่อแม่..ระวังการใช้ยาลดไข้ในเด็ก!

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ในช่วงหน้าฝน ถือเป็นช่วงที่เด็ก หรือแม้แต่ผู้ใหญ่เองมีการเจ็บป่วยมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นไข้ ตัวร้อน ซึ่งพ่อแม่ และผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะให้ลูกหลานกินยาลดไข้เอง แต่ไม่ค่อยได้ศึกษาข้อมูลในการเลือกใช้สูตรยาลดไข้อย่างถูกต้องและปลอดภัย เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจเกิดอันตรายตามมาได้
แพทย์หญิงวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โดยปกติร่างกายของคนเราจะมีอุณหภูมิ 37.5 องศาเซลเซียส เมื่อเด็กมีไข้อุณหภูมิในร่างกายจะสูงกว่าปกติ ควรใช้ปรอทในการวัดไข้ ไม่ควรซื้อยาให้เด็กกินเอง เนื่องจากยาลดไข้สำหรับเด็กมีหลากหลายยี่ห้อและหลากหลายชนิด สิ่งที่ควรระวังคือยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งอาจให้ผลในช่วงแรกว่าอาการไข้ดีขึ้น แต่ผลเสียคือสเตียรอยด์จะกดภูมิต้านทานของร่างกายทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราได้ง่าย นอกจากนี้อาจบดบังอาการแสดงของโรคติดเชื้อ เมื่อตรวจพบโรคอาจมีอาการรุนแรง และเป็นสาเหตุทำให้อาการทรุดหนัก ผู้ปกครองควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจุบันมีหลายโรคที่เป็นอันตรายและมีอาการแสดงที่คล้ายกัน เช่น โรคมือ เท้า ปาก โรคไข้เลือดออก หากผู้ป่วยด้วยโรคในกลุ่มนี้ได้รับสเตียรอยด์หรือแอสไพริน ตัวยาจะไปกระตุ้นให้เด็กเป็นอันตรายมากขึ้น ในกรณีเด็กมีไข้สูงมากกว่า 2 วันร่วมกับอาเจียน หรือหอบ เหนื่อย ซึม กระตุก ควรรีบพาไปพบแพทย์
ดังนั้น การเลือกใช้ยาลดไข้ในเด็กควรเลือกตัวยาที่ไม่มีอันตรายและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด เช่น ยาพาราเซตามอลซึ่งมีหลายรูปแบบ คือ ยาน้ำเชื่อมทั่วไปจะมีปริมาณของตัวยาเท่ากับ 120 มิลลิกรัม ต่อ 5 ซีซี หรือ 1 ช้อนชา หรือแบบน้ำเชื่อมชนิดแขวนตะกอนจะมีปริมาณของตัวยาเท่ากับ 120 มิลลิกรัม และ 160 มิลลิกรัมต่อ 5 ซีซี หรือ 1 ช้อนชา ยาน้ำเชื่อมชนิดเข้มข้นประกอบด้วยตัวยาพาราเซตามอล 250 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชา ยาน้ำเชื่อมแบบหยดมีปริมาณตัวยาเท่ากับ 10 มิลลิกรัม ต่อ 0.1 ซีซี ยาเม็ดสำหรับเด็กในหนึ่งเม็ดมีปริมาณตัวยาเท่ากับ 325 มิลลิกรัม


ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ     
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ทานอะไร..เข้าใกล้ “มะเร็ง”

พูดถึงโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในลำดับต้นๆของคนทั่วโลก ลองนึกดูเล่นๆนะคะว่า คนรู้จักรอบๆตัวเรา มีใครเป็นมะเร็งกันบ้างไหม? มั่นใจว่าเกินครึ่งของผู้อ่านคอลัมน์ "มุมสุขภาพ" นี้น่าจะตอบว่ามี และหลายรายอาจถึงขั้นสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป
สาเหตุใหญ่ของมะเร็งที่คุณหมอ และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างระบุว่าเป็นต้นตอใหญ่ๆ ของโรคนี้ ก็คืออาหารที่เรารับประทานกันเข้าไปนี่ล่ะค่ะ
ผู้เขียนเองมีคนรอบตัวที่ประสบเจ้าโรคร้ายนี้อยู่ด้วยกัน 5-6 คน พี่คนหนึ่งเธอทานปาท่องโก๋ที่ตลาดหน้าปากซอยบ้านเป็นประจำตั้งแต่สมัยเรียน ปัจจุบันเธอตรวจพบโรคมะเร็งลำไส้ ต้องรักษาด้วยเคมีบำบัดและยาอีกมากมาย คุณหมอแจ้งว่า น้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำนั่นแหละ ตัวอันตราย!!! เห็นไหมคะว่า การเลือกรับประทาน เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรใส่ใจและไม่ควรมองข้าม ผู้เขียนจึงนำข้อมูลว่าด้วยอาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมาฝากให้อ่านกัน
มาดูกันนะคะ ว่าอาหารกลุ่มเสี่ยงที่มักชวนมะเร็งมาลงหลักปักฐานในร่างกาย ประเภทแรกคือ อาหารพวกปิ้ง ย่าง รมควัน โดยเฉพาะอาหารปิ้ง-ย่างประเภทที่มีไขมัน เช่น หมูปิ้งหมูย่าง ไก่ปิ้ง เนื้อย่าง เวลาปิ้งหรือย่างจะมีไขมันตกลงไปในถ่านที่กำลังแดง ทำให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดสารพิษที่เรียกว่า สารพีเอเอช หรือโพลีไซคลิก อะโรเมติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAH) ทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด เต้านม และกระเพาะอาหาร
ประเภทถัดมาคืออาหารไขมันสูง มีข้อมูลการวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการกินอาหารที่มีไขมันสูงมากๆเป็นประจำ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก จึงไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันสูงบ่อยๆ หรือเป็นประจำ นอกจากเสี่ยงต่อโรคมะเร็งแล้วยังทำให้อ้วนและเกิดโรคอื่นๆ เช่น ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด
อีกทั้งอาหารประเภทที่ใส่วัตถุเจือปน มีการปรุงแต่งสี กลิ่น หรือสารที่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหารล้วนเป็นสารก่อมะเร็งได้ ซึ่งสารเจือปนที่อนุญาตให้ใส่ในอาหารได้ ได้แก่ ดินประสิว (ไนเตรท, ไนไตรท์) สีผสมอาหาร เป็นต้น สำหรับวิธีการสังเกตอาหารที่เสี่ยงเจือปนดินประสิวด้วยตัวเองเบื้องต้นคือ แนะนำให้ดูที่สีสันของอาหาร อย่างพวกเนื้อเค็ม ปลาเค็ม กุนเชียง ไส้กรอก เบคอน และแหนม หากทิ้งไว้ข้ามวันแล้วสียังคงแดงสวย ถือว่าเข้าข่ายเจือปนดินประสิวอยู่ไม่น้อย
ขณะที่เรื่องการใช้สีผสมอาหาร หากเป็นผู้ผลิตอาหาร ก็ควรใช้สีที่ได้จากธรรมชาติซึ่งจะปลอดภัย ทั้งยังได้กลิ่นหอมจากพืชหรือสมุนไพรที่เรานำมาเป็นวัตถุดิบในการให้สีเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าผู้ผลิตขาดความรับผิดชอบ ใช้สีย้อมผ้าซึ่งให้สีเข้มและราคาถูกก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เพราะทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารได้นะคะ
สำหรับผัก ผลไม้ที่มียาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ กินทุกวันๆ ร่างกายขับทิ้งไม่ทันก็เกิดการสะสม จนในที่สุดทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้เช่นเดียวกันค่ะ เหมือนที่เตือนๆ ไปในบทความเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
อาหารจำพวกถั่วลิสง พริกแห้ง หอม กระเทียม ฯลฯ หากมีการปนเปื้อนของเชื้อรา โดยเฉพาะเชื้อราที่ชื่อ "แอสเปอจิลลัส เฟวัส" นั้นจะมีอันตรายสูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ เพราะเชื้อราชนิดนี้จะสร้างสารพิษอะฟล่าท็อกซินซึ่งทนทานต่อความร้อนสูงได้มากถึง 260 องศาเซลเซียส ดังนั้นความร้อนในอุณหภูมิที่เราใช้หุงต้มคือจุดเดือด 100 องศาเซลเซียสจึงไม่สามารถทำลายสารพิษชนิดนี้ได้
แม้แต่การกินอาหารดิบๆ สุกๆ ก็ไม่ปลอดภัยค่ะ เพราะเสี่ยงต่อการได้รับพยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งพบมากในปลาน้ำจืดประเภทปลาเกล็ดขาว ปลาตะเพียน พยาธิชนิดนี้จะเข้าสู่ร่างกายได้เมื่อเรากินปลาที่มีพยาธิและปรุงไม่สุก พยาธิจะทำให้ท่อน้ำดีและขั้วตับเกิดการอักเสบ ส่งผลให้เป็นมะเร็งที่ท่อน้ำดีในตับได้ นอกจากนี้ยังมีพยาธิใบไม้ชนิดอื่นๆ ที่ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ ซึ่งวิธีป้องกันคือกินอาหารที่ปรุงสุกทุกครั้ง
นอกจากนี้การกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากเกินไปก็ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ คือความเสี่ยงของมะเร็งจะเพิ่มขึ้นเมื่อกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเนื้อที่มีสีแดง ดังนั้นนักโภชนาการจึงแนะนำให้กินเนื้อสัตว์ที่มีสีขาว ซึ่งได้แก่เนื้อปลา มากกว่าเนื้อหมูหรือเนื้อวัวนะคะ
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ และบุหรี่ ก็เป็นตัวการส่งเสริมให้เกิดมะเร็งได้ ซึ่งได้แก่มะเร็งตับ และมะเร็งปอด ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการดื่มหรือการสูบลงก็จะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้คะ
เคยอ่านเจอคำพูดของ องค์ทะไลลามะท่านกล่าวว่า "มนุษย์เรานี้ ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อทำให้ได้เงินมา แล้วต้องยอมสูญเสียเงินตราเพื่อฟื้นฟูรักษาสุขภาพ" พวกเรายอมทำงานหนัก ในสังคมที่เร่งรีบ ทำให้หลายคนมองข้ามเรื่องสุขภาพ กินอะไรที่ง่ายและรวดเร็ว ไม่คำนึงถึงคุณค่าทางอาหารและไม่มีประโยชน์ เมินเฉยต่อการนอนหลับให้พอ สุดท้ายก็เอาเงินที่ได้จากงานหนัก มาหาหมอที่ดีๆ ยาดีๆ โรงพยาบาลดีๆ เพื่อการรักษา ทั้งที่จริง เราป้องกันมันได้ตั้งแต่แรก น่าคิดนะคะ


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

สารหนู สารก่อมะเร็งใกล้ตัว

ช่วงสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวน่าสนใจจากเครือข่ายผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา ที่ออกมาเรียกร้องให้สำนักงานอาหารและยาหรือเอฟดีเอของสหรัฐจำกัดปริมาณสารหนูในผลิตภัณฑ์จากข้าวเจ้า หลังจากมีการตรวจพบว่ามีสารหนูอนินทรีย์ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในผลิตภัณฑ์จากข้าวชื่อดังหลายยี่ห้อมากกว่า 60 ตัวอย่าง ทั้งผลิตภัณฑ์จากข้าวขาวและข้าวกล้อง ซีเรียล แคร็กเกอร์ พาสต้าที่ทำจากข้าวและน้ำนมข้าว
เครือข่ายผู้บริโภคออกมาเตือนว่าตราบใดที่ยังไม่มีการออกกฎเกณฑ์ให้ชัดเจน แนะนำให้เด็กทารกควรจะรับประทานซีเรียลเพียง 1 ครั้งต่อวันและไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ดื่มน้ำนมข้าวเป็นประจำทุกวัน ในขณะที่ผู้ใหญ่ไม่ควรกินข้าวมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยแนะนำให้กินธัญพืชอื่นๆ เป็นการทดแทน เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ข้าวสาลี เนื่องจากมีปริมาณสารหนูน้อยกว่า
อันว่าเจ้าสารหนูเป็นธาตุกึ่งโลหะพบได้ทั่วไปในธรรมชาติทั้งในน้ำ อาหารและดิน คนจีนใช้สารหนูเป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิดมา 2-3 พันปีมาแล้วและใช้เป็นสารพิษที่ใช้ในการฆาตกรรมด้วย เรียกว่ามีทั้งคุณและโทษ สารหนูถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งประเภทที่ 1 คือมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ มี 2 รูปแบบคือสารหนูอินทรีย์และสารหนูอนินทรีย์ สารหนูอินทรีย์จะผ่านเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วและไม่ค่อยเป็นอันตราย แต่สารหนูอนินทรีย์มีอันตรายมากกว่า ถ้าได้รับในปริมาณมากจะมีอาการพิษเฉียบพลันคือ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง กล้ามเนื้อเกร็งและเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อยค่อยๆ สะสม จะมีอาการเรื้อรัง เช่น ผิวหนังเปลี่ยนสีเป็นจุดสีน้ำตาลกระดำกระด่าง  มีตุ่มตามฝ่ามือฝ่าเท้า มีปัญหาทางระบบหลอดเลือด ระบบประสาท ระบบเลือด อวัยวะเป้าหมายที่สารหนูกระจายไปสะสมคือ เส้นผม ขน เล็บและสมอง ผู้ที่ได้รับสารหนูเข้าไปมักจะมีรอยแถบสีขาวบนเล็บมือและเล็บเท้าแสดงถึงการหยุดชะงักของการเจริญเติบโตของเล็บนั่นเอง
สารหนูจะขับถ่ายทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ภายใน 2-8 ชั่วโมงหลังจากที่ได้รับเข้าไป แต่ถ้ามีการสะสมไว้นานและได้รับในปริมาณมากอาจจะใช้ระยะเวลานานถึง 70 วัน สารหนูจึงจะหมดไปจากกระแสเลือด และที่สำคัญสารหนูสามารถรบกวนการทำงานทางชีวเคมีของสารพันธุกรรมดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ สารหนูจึงเป็นทั้งสารก่อการกลายพันธุ์และสารก่อมะเร็งด้วย โดยมีหลักฐานทางการแพทย์ว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอดและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
งานนี้คนไทยอาจจะชักสงสัยว่าข้าวเจ้าของไทยเราจะมีสารหนูปนเปื้อนอย่างที่เป็นข่าวหรือเปล่า ข่าวจากรอยเตอร์แจ้งว่าข้าวตัวอย่างจากไทยและอินเดียมีปริมาณสารหนูต่ำกว่าข้าวเจ้าที่ปลูกในสหรัฐ แต่ก็อย่าพึ่งไว้วางใจเพราะข้าวไทยที่ขายอยู่ในบ้านเรายังไม่มีตัวเลขระดับสารหนูมายืนยัน โดยเฉพาะข้าวกล้องเพราะในต่างประเทศพบว่ามีระดับสารหนูมากกว่าข้าวขาวเสียอีก เพราะสารหนูมันติดอยู่ที่ผิวนอกของเมล็ดข้าวกล้อง มันมาจากยาฆ่าแมลงที่ฉีดพ่นรวงข้าวนั่นแหละครับ...ขอบอก


ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ผักอีเลิดเป็นเลิศทางขับเสมหะ ยาประจำฤดูหนาว


ผักอีเลิด เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวอีสาน จัดเป็นผักริมรั้วที่มีแทบทุกบ้าน ปลูกง่าย เพียงใช้ไหลปักชำในพื้นที่ชื้นแฉะก็แตกยอดอย่างงาม นิยมนำมาประกอบอาหารพวกแกงคั่วหอย แกงเนื้อ หรือแกงอ่อม สำหรับเมนูยอดฮิตต้องยกให้เมี่ยงคำ  ผักอีเลิดเป็นหนึ่งในตัวยาไทยในพิกัดยาที่สำคัญอันเป็นตำรับต้านมะเร็ง
ผักอีเลิดมีอยู่ 2 แบบ คือ ชนิดที่เรียกว่าผักอีเลิด เป็นแบบเถา อีกชนิดจะเรียกว่าผักอีไร เป็นแบบเลื้อย แต่โดยส่วนใหญ่มักเรียกอีเลิด หรืออีเลิดอีไรไปเลย ในภาคกลางจะเรียกว่าช้าพลู หรือชะพลู ทางเหนือเรียกปูลิง หรือพลูนก ทางใต้เรียกนมวา เป็นพืชในวงศ์ Piperaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์Piper samentosum Roxb. ชื่อสามัญVariegatum
ผักสมุนไพรตัวนี้อยู่ในพิกัดยาตรีสาร ซึ่งเป็นยาพิกัดประจำฤดูหนาว ประกอบด้วยรากเจตมูลเพลิง เถาสะค้าน และรากช้าพลู และตำรับที่สำคัญอีกตำรับคือ เบญจกูล ซึ่งประกอบด้วย ดอกดีปลี รากช้าพลู เถาสะค้าน รากเจตมูลเพลิง ขิง เป็นยารสร้อน สรรพคุณ กระจายกองลมและโลหิต แก้คูถเสมหะ แก้ลมพานไส้ บำรุงกองธาตุทั้ง 4 ยาตำรับเบญจกูลได้ถูกกล่าวถึงในแง่การนำมารักษาโรคมะเร็ง โดยแพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ และเมื่อแยกสมุนไพรแต่ละตัวนำไปวิจัยแล้ว พบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
ตำรับยาเบญจกูล ได้มีการศึกษาวิจัยด้านฤทธิ์ในการรักษาโรคมะเร็ง โดยนักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ อินทัช ศักดิ์ภักดีเจริญ และอรุณพร อิฐรัฐ พบว่ามีฤทธิ์ต้านมะเร็งปอด
จากงานวิจัยนี้ ทำให้เห็นว่าฤทธิ์ของรากช้าพลูที่ประจำอาโปธาตุ ประจำฤดูหนาว แก้เสมหะ น่าจะทำหน้าที่โดดเด่นเมื่ออยู่ในตำรับยาเบญจกูล
สำหรับตัวผักอีเลิดมีข้อมูลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดลงได้ จึงส่งเสริมให้นำไปใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างกว้างขวาง
เมื่อกล่าวถึงสถานะในผักแล้วผักอีเลิดก็ไม่เป็นรองใคร โดยเฉพาะเมนูเมี่ยงคำ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาหารและยาปรับธาตุที่ดีตามหลักการแพทย์แผนไทย นิยมใช้ใบอีเลิดและใบทอง หลาง ซึ่งเลือกได้ตามความชอบของผู้บริโภค
สรรพคุณของส่วนต่างๆ ตามบันทึก กล่าวว่า ดอก ทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมราก ขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง ต้นขับเสมหะในทรวงอก ใบ มีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ
ทางโภชนาการพบว่า ผักอีเลิดมีเบต้าแคโรทีนสูงมาก และแคลเซียมในอันดับต้นๆ ซึ่งช่วยในการมองเห็นหรือป้องกันโรคตาบอดกลางคืน หรือตาฝ้าฟาง และบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงได้ไม่แพ้ปลาเล็กปลาน้อย
อย่างไรก็ตาม สิ่งใดมีคุณก็ย่อมมีโทษเช่นกัน แคลเซียมที่มีในใบอีเลิดจะเปลี่ยนเป็นแคลเซียมออกซาเลท ซึ่งถ้าสะสมมากๆ อาจกลายเป็นนิ่วในไตได้ ฉะนั้นจะบริโภคเป็นประจำทุกวันไม่ได้ แทนที่จะได้กระดูกแข็งแรงสายตาดี ยังได้นิ่วในไตเป็นของแถมอีก ดังนั้นต้องบริโภคอย่างระมัดระวัง โดยส่วนใหญ่ถ้าบริโภคเยอะจะเน้นบริโภคคู่กับเนื้อสัตว์ ซึ่งจะช่วยในการย่อยได้ดี เราจึงมีเมนูอร่อยๆ อย่างแกงใส่หอยขม หรือแกงใส่เนื้อ
รับประทานเป็นผักสดก็อร่อยได้รสชาติ บ้างก็รับประทานกับลาบ น้ำตก เสริมรสเพิ่มกลิ่นหอมอย่างเอร็ดอร่อย หรือกับส้มตำมะละกอตามแบบฉบับอีสานรับรองอร่อยเหาะจริงๆ


ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

วิจัยชี้เด็กต่างด้าวรับวัคซีนน้อย

วิจัยชี้เด็กต่างด้าวรับวัคซีนน้อย ไทยเตรียมหามาตรการแก้ไข
วิจัยชี้เด็กต่างด้าวรับวัคซีนน้อย ไทยเตรียมหามาตรการแก้ไข
น.ส.ศศิธร ศิลป์วุฒยา อาจารย์ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร กล่าวในเวทีนำเสนอผลงานวิจัยการคาดประมาณประชากรและการประเมินอนามัยแม่และเด็กของประชากรข้ามชาติใน กทม. ว่า การทำวิจัยครั้งนี้เป็นการเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ของแม่และเด็ก ในพื้นที่ทั้งหมดของกรุงเทพมหานคร โดยเน้นประชากรข้ามชาติ 3 สัญชาติ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา พบว่า มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 10,233 คน ซึ่งมีความหนาแน่นอยู่ในเขตบางขุนเทียนและเขตบางบอนมากที่สุด โดยจะอยู่กันเป็นชุมชนต่างด้าว รองลงมาเป็นพื้นที่ตลาดในเขตคลองเตย บางแค และพระนคร พื้นที่โรงงานในเขตทุ่งครุ ภาษีเจริญ และหนองแขม
ด้านนางทัศนัย ขันตยาภรณ์ ผู้วิจัยจาก HCC เสนอผลการศึกษาอนามัยแม่และเด็กของหญิงต่างด้าวใน กทม.ว่า การศึกษาครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายหญิงต่างด้าวที่มีสถานะอยู่กันเป็นคู่ 478 คน โดยพบว่า เป้าหมายการอพยพของประชากรกลุ่มนี้เพื่อทำงานหาเงินร้อยละ 72.2 มีการคุมกำเนิด โดยนิยมใช้ยาคุมกำเนิดมากที่สุด แต่พบว่ามีการคุมกำเนิดผิดพลาดสูงเช่นกัน และพบการตั้งครรภ์ร้อยละ 98.8 ทั้งนี้ การรับวัคซีนขั้นพื้นฐานมีการครอบคลุมของการรับวัคซีนในกลุ่มเด็กต่างด้าวแรกเกิด น้อยกว่าเด็กไทยถึง 1 ใน 3 ในช่วงอายุ 1-4 ขวบ ส่งผลต่อการควบคุมโรคติดต่อที่ป้องกันด้วยวัคซีน ทำให้ประเทศไทยต้องเตรียมหาแนวทางและมาตรการรองรับกับเรื่องดังกล่าวเพื่อทำการแก้ไข 



ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks