น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

'ภูมิแพ้' รักษาได้

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


"โรคภูมิแพ้" เป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยากับ "สารก่อภูมิแพ้" ที่พบบ่อยได้แก่ ไรฝุ่น ละอองเกสรหญ้า หรือพวกขนสัตว์ต่างๆ ฯลฯ เมื่อสารก่อภูมิแพ้สัมผัสกับเยื่อบุของร่างกายจะปล่อยสารสำคัญที่เรียกว่า "ฮีสตามีน" ออกมา ทำให้เกิดอาการระคายเคือง

  'ภูมิแพ้'รักษาได้

โรคภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้กับหลายระบบในร่างกาย ได้แก่

1.โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ จะมีอาการน้ำมูกไหล จาม คันจมูก คัดจมูก บางรายอาจมีอาการของไซนัสอักเสบร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการทางตา เช่น คันตา ตาแดง รอบตามีสีคล้ำ บางรายอาจมีอาการหูอื้อ หรือหูชั้นกลางอักเสบ

2.โรคหืดภูมิแพ้มักมีอาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก หายใจมีเสียงวี้ด ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะในเวลากลางคืน เวลาเป็นหวัดจะไอนานกว่าปรกติ บางรายอาจใช้ยาขยายหลอดลมแล้วรู้สึกดีขึ้น

3.โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ส่วนมากจะมีผื่นคันในระยะแรกผื่นอาจมีน้ำเหลืองปกคลุมอยู่ ในระยะเรื้อรังผื่นจะแห้ง และผิวหนังจะหนาขึ้น เกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ในเด็กจะพบได้บ่อยกว่า ภูมิแพ้กับพันธุกรรม

โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง คุณพ่อคุณแม่ที่เป็นโรคภูมิแพ้จะทำให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าหากคุณพ่อคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกทุกคนจะเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย เด็กบางคนอาจเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ทางสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ การติดเชื้อในทางเดินหายใจในวัยเด็ก

ภูมิแพ้...รักษาได้

สิ่งที่สำคัญและจำเป็นคือเราควรรู้ก่อนว่าแพ้อะไร วิธีการที่จะรู้ได้คือทำการทดสอบภูมิแพ้ หรือ Skin Test โดยแพทย์จะหยดน้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ที่ผิวหนังบริเวณแขนหรือแผ่นหลัง แล้วใช้เข็มสะกิดที่ผิวหนังบริเวณนั้น การทดสอบนี้ไม่เจ็บและทราบผลภายใน 15 นาที เมื่อเรารู้แล้วว่าแพ้อะไรจะทำให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ได้ดียิ่งขึ้น การรักษามีหลายวิธี ได้แก่

1.หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น ถ้าแพ้ขนสัตว์ก็ต้องไม่เลี้ยงสัตว์ดังกล่าวไว้ในบ้าน โดยเฉพาะห้องนอน หรือถ้าตรวจพบว่าแพ้ไรฝุ่น ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่แพ้กันมากถึงร้อยละ 70 ก็ควรหลีกเลี่ยงการปูพรมในห้องนอน เครื่องนอนทุกชิ้นควรซักด้วยน้ำร้อนทุก 2 สัปดาห์ หรืออาจใช้ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนกันไรฝุ่น

2.รับประทานยาแก้แพ้ ใช้ในกรณีที่หลีกเลี่ยงหรือป้องกันสารที่ก่อภูมิแพ้แล้วแต่ยังมีอาการแพ้อีก การรับประทานยาแก้แพ้จำพวกยาต้านฮีสตามีนบางชนิดอาจทำให้มีผลข้างเคียงได้ เช่น อาการง่วงนอน ปากแห้ง คอแห้ง ปัสสาวะลำบาก เป็นต้น

3.การใช้ยาพ่นจมูกสำหรับรักษาภูมิแพ้โดยเฉพาะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ชนิดปานกลางถึงรุนแรง ยาชนิดนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ซึ่งพบได้น้อยแต่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการระคายเคืองของเยื่อบุจมูก และเลือดกำเดาไหล ซึ่งถ้าผู้ป่วยพ่นยาอย่างถูกวิธีจะเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวน้อยมาก

4.การใช้ยาสูดเพื่อรักษาโรคหืดภูมิแพ้ ยาสูดเพื่อรักษาโรคหืดภูมิแพ้แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่

4.1 ยาสูดเพื่อการรักษาและควบคุมโรคหืด เป็นยาที่ผู้ป่วยต้องสูดต่อเนื่องทุกวันด้วยเทคนิคที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรใช้ยาเฉพาะตอนมีอาการ หลังสูดเสร็จควรบ้วน ปากและกลั้วคอเพื่อชะล้างยาที่ตกค้างอยู่ในช่องปาก

4.2 ยาสูดเพื่อบรรเทาอาการ ผู้ป่วยควรพกพาติดตัวและนำมาใช้เฉพาะเวลามีอาการ หรือใช้ก่อนออกกำลังกายประมาณ 30นาที ไม่ควรใช้เป็นประจำ ในผู้ป่วยบางรายที่สามารถควบคุมอาการของโรคได้ ดีพบว่ามีความต้องการ ที่จะใช้ยาชนิดนี้น้อยครั้งมาก

ที่มา :หนังสือพิมพ์โลกวันนี้วันสุข  โดย  รศ.นพ.ต่อพงษ์ ทองงาม 
i-am-wedding

งาดำ พืชเมล็ดเล็ก ๆ แต่มีคุณประโยชน์มหาศาล

PG&P THAI พีจีแอนด์พี เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์: 


งาดำ พืชเมล็ดเล็ก ๆ แต่มีคุณประโยชน์มหาศาล จนได้รับการขนานนามว่าเป็น"ราชินีแห่งพืชน้ำมัน ราชันแห่งธัญพืช" โดยสารสำคัญในงาดำมีชื่อว่า "เซซามิน" ส่วนจะมีสรรพคุณอะไรบ้างไปฟังคำตอบกัน

งาดำ

รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบัณฑิตศึกษา และอาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดงาดำ "เซซามิน" กล่าวว่า เรามีองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากงามากว่า 4,000 ปีแล้ว การทำวิจัยเรื่องนี้ก็เพราะอยากใช้องค์ความรู้วิทยาศาสตร์มาพิสูจน์องค์ความรู้ตั้งแต่โบราณ เช่น สรรพคุณในการผสานหรือต่อกระดูก ดูแลเกี่ยวกับความดันโลหิต ดูแลภูมิต้านทาน เมื่อทำวิจัยก็พบว่าสิ่งที่คนโบราณมีความเชื่อนั้นเป็นเรื่องจริง

"เซซามิน" ในงาดำมีคุณประโยชน์ 8 ประการ คือ

1. ช่วยในการเผาผลาญ สลายไขมัน ลดความอ้วนเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

2. ลดการดูดซึมและการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล

3. ทำให้ระดับไขมันอยู่ในสัดส่วนพอดี

4. ช่วยในการทำงานของวิตามินอี

5. ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในระบบประสาท

6. ลดปฏิกิริยาความเครียด

7. ต้านอนุมูลอิสระ

8. ต้านการอักเสบ

สำหรับสรรพคุณในเรื่องการลดการอักเสบนั้นได้มีการค้นคว้าวิจัยสรรพคุณด้านนี้เป็นพิเศษในเชิงลึก เพราะการอักเสบเป็นตัวการทำให้เกิดโรคข้อเสื่อม ซึ่งเป็นโรคที่คนไทยเป็นมาก และสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีหนึ่งมหาศาล ในระยะแรกได้ทดลองกับกระดูกอ่อนของหมู พบว่า สารเซซามินที่สกัดจากงาดำสามารถยับยั้งการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่ห่อหุ้มข้อต่าง ๆ ของร่างกายได้ จึงเชื่อว่าจะมีสรรพคุณเช่นเดียวกันเมื่อนำมาใช้กับคน ทั้งนี้กำลังอยู่ระหว่างการเริ่มทดลองขั้นสูงในระดับคลินิกต่อไป

ปัจจุบันงาดำที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดอาจอยู่ในรูปของสารสกัดที่เป็นแคปซูล ดังนั้นประชาชนทั่วไปอาจทำกินเองได้ ด้วยการคั่วแล้วบดวันละไม่เกิน 4ช้อนชา สิ่งสำคัญคือต้องควบคุมคุณภาพให้ได้ แต่ ปัญหาคือ การคั่วนาน ๆ อาจทำให้เกิดสารพิษที่ทำให้ก่อมะเร็งได้ ของบางอย่างเมื่อถูกความร้อน ของดีกลายเป็นของไม่ดี กลายเป็นสารพิษได้ และการเก็บไว้นาน ๆ อาจเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทำให้มีกลิ่นเหม็นหืน

มีข้อห้ามหรือไม่ว่าใครไม่ควรรับประทานงาดำ? รศ.ดร.ปรัชญา กล่าวว่า ยังไม่เคยเจอ แต่มีแพทย์บางท่านบอกว่ามีบางคนที่รับประทานเข้าไปอาจเกิดการแพ้ได้







ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดย นวพรรษ บุญชาญ

4 วิธีช่วยบรรเทาอาการคอเคล็ด


4 วิธีช่วยบรรเทาอาการคอเคล็ด

อาการคอเคล็ดถือว่า เป็นอาการป่วยที่สร้างความลำบากให้กับสาว ๆ ทำงานอยู่ไม่น้อย เพราะทำให้ขาดความคล่องตัว แถมยังต้องกังวลกับอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยบรรเทาอาการดังกล่าว จึงมีวิธีดี ๆ มาแนะนำกันค่ะ
นวด 
ให้บีบนวดบริเวณแนวของกล้ามเนื้อที่รู้สึกปวดเมื่อย เพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อ หรือนอนราบเพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก
น้ำร้อนบรรเทา
ใช้กระเป๋าน้ำร้อน หรือผ้าชุบน้ำอุ่น ประคบบริเวณกล้ามเนื้อคอที่เคล็ด แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 – 30นาที จากนั้นนวดเบา ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว
ดันศีรษะให้ตึง
ใช้มือช่วยดันศีรษะไปในทิศทางที่เกิดอาการตึงช้า ๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อย ดันค้างไว้ประมาณ 10-15วินาที ทำซ้ำ 5 - 10ครั้ง จนรู้สึกว่าอาการทุเลาลง
ทานยารักษาโดยเฉพาะ  
ให้รับประทานยาจำพวกคลายกล้ามเนื้อ คลายเส้นประสาท เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น
ลองนำไปใช้ดูนะคะ ดีกว่าต้องทนนั่งทำงานแบบเจ็บ ๆ ปวด ๆ ทรมานทั้งวันแน่นอนค่ะ


ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามดารา

กิน 'ซุปถั่วแดง' ไม่เป็นเหน็บชา



เหน็บชา ไม่ใช่แค่เพราะนอนทับแขนหรือนั่งทับขา แต่อาจเกิดจากกินอาหารบางอย่างมากเกินไป เมนูจากถั่วแดงช่วยแก้ได้
เมื่อไหร่ที่เป็นเหน็บชา ไม่ว่าจะที่แขนหรือขา ย่อมส่งผลให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก บางครั้งต้องรอให้เหน็บชาหายจึงจะขยับแขนหรือขาได้ถนัด
สาเหตุของเหน็บชา เกิดจากการกดทับ เช่น นอนทับแขน นั่งพับเพียบหรือนั่งท่าขัดสมาธิ ซึ่งท่าทางดังกล่าวมักทำให้เกิดการกดทับจนเส้นเลือดไม่สามารถนำออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคสไปยังเนื้อเยื่อและเส้นประสาท ดังนั้น เมื่อเส้นประสาทไม่อาจสื่อสารไปยังสมองจึงเกิดความรู้สึกชา เจ็บจิ๊ดๆ
ทางแก้ที่แน่นอน คือ ต้องเลี่ยงอิริยาบถที่จะทำให้เกิดการกดทับจนเป็นเหน็บชา และที่สำคัญคือ ไม่ควรกินคาร์โบรไฮเดรตมากเกินไป เช่น ข้าว แป้ง เนื่องจากร่างกายต้องใช้วิตามินบีในการเผาผลาญคาร์โบรไฮเดรต ถ้ากินคาร์โบรไฮเดรตมาก ร่างกายย่อมต้องใช้วิตามินบีมากเช่นกัน เมื่อร่างกายขาดวิตามินบี ก็จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นเหน็บชาได้ง่ายๆ
การเติมเสริมวิตามินบีให้ร่างกาย 'มุมสุขภาพ' แนะนำ 'ถั่วแดง' ที่มีสรรพคุณแก้ลดอาการเหน็บชา แถมยังช่วยบรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง บำรุงหัวใจ ระบบประสาท ลำไส้ บำรุงเลือด ลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงเส้นเลือดในสมองปริแตก โดยสารอาหารในถั่วแดงประกอบไปด้วยโปรตีน คาร์โบรไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ บี และซี มีเส้นใยอาหาร และโฟลิก
สำหรับเมนูอร่อยจากถั่วแดง ชวนลองทำ 'ซุปถั่วแดง' โดยเริ่มจากนำถั่วแดงไปต้มสุกแล้วพักไว้ หันไปโขลกเม็ดพริกไทย รากผักชี และกระเทียมรวมกัน จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอกพอเริ่มร้อนใส่เม็ดพริกไทย รากผักชี และกระเทียมที่โขลกไว้ ผัดให้หอมแล้วใส่ก้านขึ้นฉ่ายสับและหอมหัวใหญ่สับ ผัดต่อให้สุก จากนั้นใส่ถั่วแดงต้มสุก และน้ำซุปหรือน้ำสะอาด เคี่ยวให้ถั่วแดงเปื่อยแล้วพักไว้จนเย็นลง จึงนำไปปั่น
เมื่อนำไปปั่นแล้วจะได้ซุปเนื้อเนียนละเอียด แต่เท่านี้ยังไม่อร่อยพอ ต้องนำไปตั้งไฟอีกครั้ง โดยใช้ไฟอ่อน เคี่ยวต่อสักครู่ พร้อมปรุงรสเพิ่มด้วยเกลือ ซีอิ้วขาว และพริกไทย กระทั่งซุปเริ่มเดือดจึงดับไฟเป็นอันเสร็จ พร้อมตักใส่ถ้วย กินตอนร้อนๆ อุ่น คล่องคอ เป็นเมนูอาหารว่างช่วยป้องกันเหน็บชาได้ดี

คลายเครียด เพื่อให้งานเดินต่อ


ความหงุดหงิดเป็นสัญญาณ เริ่มแรกที่ก่อให้เกิดความ เครียดได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน อย่าให้ความเครียดมาทำร้าย กันอีกเลย ผมขอแนะนำวิธีคลายเครียดในที่ทำงานมาฝากท่านผู้อ่านครับ

คลายเครียด เพื่อให้งานเดินต่อ

1 นาทีเพื่อการเปล่งเสียง

ลองหามุมที่ปลอดผู้คน เปล่งเสียงออกมาให้สุดๆ อย่างที่ใจอยากทำจนสะใจ เพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้น

5 นาทีเพื่อการฟังเพลง

เสียบหูซาวนด์อะเบาท์เข้าสู่โลกส่วนตัวแล้วคลิกเพลงฟัง ควรเป็นเพลงคลาสสิกหรือเพลงบรรเลงนุ่มๆ เพราะจะทำให้อารมณ์เย็นขึ้น โดยมีราย งานการวิจัยจากมหาวิทยาลัย นิวออร์ลีนส์ระบุว่า การฟังเพลง คลาสสิกจะทำให้ผู้ฟังคลายเครียด ได้มากกว่าฟังเพลงประเภทอื่นๆ แต่ถ้าอยากฟังเพลงที่ชอบใจก็ไม่ว่ากัน

10 นาทีเพื่อการจิบชาร้อนๆ

ลองหาเวลาหยุดพักจิบชา ร้อนๆ เช่น ชาคาโมมายส์ เต็มไปด้วยน้ำมันหอมระเหยโปรอะซูลิน มีผลช่วยลดอาการตึงเครียด แล้วปล่อยใจให้ดื่มด่ำไปกับกลิ่นหอมของชา ให้หัวโปร่งโล่งก่อนกลับมาลุยงานหนักต่อไป

15 นาทีเพื่อสมาธิสบาย

ลองปลีกเวลาไปหามุมสงบ สัก 15 นาที นั่งสมาธิหรือนั่งในท่าที่สบายที่สุด หลับตา หาย ใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่าง กาย ลืมทุกเรื่องไปก่อนชั่วขณะ มีสติรู้สึกตัว ถ้าให้ดีควรทำให้ได้อย่างน้อย 15-30 นาที แล้วจะรู้สึกสบายขึ้น มีผลรายงานยืนยันจากสมาคมการบำบัดด้วย สมาธิชี้ให้เห็นว่า การทำสมาธิจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนในระดับที่เหมาะสม ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล ไม่รู้สึกเครียดจนเกินไป

20 นาทีเพื่อการงีบหลับ

มีผลการวิจัยจาก ดร.เจมส์ มาส ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ มาส ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ผู้แต่งหนังสือ Power Sleep ยืนยันว่าการงีบหลับ 10-20 นาที จะช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระ ชวย และทำงานได้อย่างแจ่มใส

30 นาทีเพื่อการเดินเล่น

ลองเปลี่ยนบรรยากาศ ไปเดินเล่นผ่อนคลายในที่โล่ง ร่มเย็น ระหว่างเดินก็ปล่อย อารมณ์ให้สบายไปกับสิ่งรอบ กาย เช่น ต้นไม้ ดอกไม้สวยๆ ร้านบรรยากาศน่ารัก หรือแสงอาทิตย์ยามเย็น ถ้าไม่สามารถก้าวออกจากโต๊ะทำงานได้ มีวิธีที่ง่ายกว่าด้วยการจัดโต๊ะทำงานใหม่ให้เกิดมุมแปลกตา อาจทำให้ผ่อนคลายได้เช่นกัน

ขอให้ทุกท่านทำงานด้วยความผ่อนคลายสบาย ใจ และสนุกในการทำงานนะครับ







ที่มา หนังสือพิมพ์โลกวันนี้วันสุข โดยดร.สมสิทธิ์ มีแสงนิล

เม็ดเล็ก...เพิ่มพลังงาน


 
          ใครรู้บ้างว่า “พริก” ที่นับว่าเป็นส่วนประกอบของอาหารหลากชนิดมีประโยชน์มากมาย เพื่อไม่ให้เสียเวลาเราไปติดตามเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับพริกและความเผ็ดกันดีกว่าค่ะ

          ในทางโภชนาการ “พริก” ถือเป็นพืชที่มีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง นอกจากความเผ็ดของพริกที่มาจากสาร "แคปไซซิน" แล้วในเม็ดพริกยังมีวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียมและธาตุเหล็กอีกด้วย ประโยชน์ของพริกไม่ใช่เพียงแค่ให้ความเผ็ด แต่พริกยังช่วยเพิ่มสารแห่งความสุข หรือที่คุ้นหูกันดีว่าสาร "เอ็นโดรฟิน" ให้ผู้ที่ชื่นชอบรสเผ็ด อีกทั้งพริกยังบรรเทาอาการเจ็บปวด บรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกก็จะช่วยให้ดีขึ้นอย่างมาก เพราะจะทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง

          นอกจากนั้น พริกยังลดปริมาณคอเรสเตอรอลได้อีกด้วย โดยพริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย และช่วยในการเผาผลาญ จึงมีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากการกินพริกจะไม่ทำให้รู้สึกว่าอยากความหวาน เหนือสิ่งอื่นใด พริกยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งด้วย และปัจจุบันพริกถูกนำมาทำเป็นเจลใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ เข่าอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เริม และงูสวัดด้วย

          เรียกได้ว่า “พริก” เป็นพืชสารพัดประโยชน์จริงๆ ทีนี้ใครที่ชอบเขี่ยพริกทิ้งแล้วละก็ ลองคิดใหม่ หันมาทานพริกดูบ้าง คงจะดีไม่น้อย
 
 
 
 
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามดารา

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks