น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

เปลือกไข่มีค่า ช่วยให้ไฟติดได้ ง่ายขึ้น

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เปลือกไข่นอกจากจะช่วยให้ไฟติดได้ ง่ายขึ้น โดยที่ขณะก่อไฟให้ทุบเปลือกไข่จนแตกละเอียด แล้วใช้กระดาษห่อมัดไว้วางข้างใต้ฟืนจะทำให้ไฟแรงขึ้น หรือจะนำเปลือกไข่ไปย่างไฟให้เกรียม นำไปวางตรงที่มีมดชอบมาชุมนุมกัน มดก็จะไม่มาบริเวณนั้นอีกเลย

เปลือกไข่มีค่า

เปลือกไข่ยังมีประโยชน์ใช้สอยในด้านเป็นเครื่องมือทำความสะอาดสามารถนำไป ใช้ขัดล้างอ่างล้างหน้าอ่างอาบน้ำและเครื่องใช้เซรามิคทั้งหลาย ใช้แทนแปรงล้างขวดหรือภาชนะที่มีปากแคบ หรือจะใช้เป็นปุ๋ยสำหรับต้นไม้รอบบ้าน

งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio University) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า เปลือกไข่อาจใช้เป็นวัตถุดิบช่วยผลิตก๊าซไฮโดรเจน เพื่อไปผสมกับก๊าซออกซิเจนที่ใช้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าของเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลง

งานวิจัยระบุว่า เปลือกไข่มีบทบาทสำคัญที่จะทำให้ไฮโดรเจนบริสุทธิ์สามารถแยกออกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

โดยการเติมเปลือกไข่ลงไปในขั้นตอนการผลิตก๊าซไฮโดรเจน แคลเซียมออกไซด์ (Calcium oxide) ที่อยู่ในเปลือกไข่ จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ ทำให้กระบวนการผลิตสะอาดขึ้น และเมื่อนำเปลือกไข่ที่ใช้แล้วไปฝังดิน ก็จะเป็นการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นออก โดยไม่ปล่อยมันสู่ชั้นบรรยากาศอีกด้วย

งานวิจัยสรุปด้วยว่า ปริมาณขยะเปลือกไข่ที่คนอเมริกันทิ้งไว้ทั่วประเทศมีมากถึง 455,000 ตัน นั้นมากพอที่จะผลิตก๊าซไฮโดรเจนได้มากถึง 35 พันล้านลูกบาศก์ฟุตเมื่อเทียบเท่ากับก๊าซถ่านหิน ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานเชื่อว่าไฮโดรเจนอาจกลายเป็นแหล่งพลังงานที่ สำคัญในอนาคต แต่นักวิจัยจะต้องพัฒนาวิธีการที่เหมาะสมในการผลิตไฮโดรเจนจำนวนมากต่อไป




ที่มา : มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย เรียบเรียงโดยสมุย

มหันตภัยบิ๊กอายส์

จักษุแพทย์เตือนสาวอยากตาโตด้วย “บิ๊ กอายส์” ต้องระวัง หลังพบคนไข้สาววัย 18 ซื้อมาใส่เอง แค่ วันเดียวได้เรื่อง ตาหวิดบอด เพราะเกิดอาการระคายเคืองแล้วเผลอขยี้ตาจนกระจกตาดำ เป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรียกัดกินกระจกตาดำเกือบทะลุ โชคดีมาพบแพทย์ทัน แต่ต้องตามัว มองไม่ชัดไปตลอดชีวิต เพราะเกิดแผลเป็นที่ตาดำ ได้แต่เตือนอยากสวยด้วยบิ๊กอายส์ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

มหันตภัยบิ๊กอายส์

ปัญหาของสาวอยากมีดวงตาโตกว่าเดิม แต่กลับส่งผลร้ายต่อสุขภาพในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ว่า ปัจจุบันยังพบว่าวัยรุ่นผู้หญิงยังนิยมใส่คอนแทคเลนส์ตาโต หรือ บิ๊กอายส์ ซึ่งเป็นเลนส์ที่ไม่ใช่เลนส์สายตา แต่เป็นเลนส์เพื่อความสวยงาม เปลี่ยนสีตา ขยายขนาดของตาดำ เพราะต้องการเลียนแบบดารา นักร้อง นางแบบ อยากสวยอยากงาม ทั้งๆที่การใช้บิ๊กอายส์ หรือแม้กระทั่งคอนแทคเลนส์ที่เป็นเลนส์สายตา เสี่ยงอันตรายทั้งสิ้น เพราะอย่าลืมว่าคอนแทคเลนส์เป็นสิ่งแปลกปลอม และเมื่อต้องสัมผัสกับกระจกตาโดยตรงและเป็นเวลานาน หากคอนแทคเลนส์สกปรกจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตาและอาจลุกลามถึงขั้น ตาบอดได้ภายใน 2 วัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีผู้ป่วยจากการใส่คอนแทคเลนส์ และบิ๊กอายส์มารักษาที่ รพ.พระนั่งเกล้า อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2554 มีประมาณ 20 รายส่วนในปี 2555 พบ 2 ราย โดยรายล่าสุดเข้ามารักษาที่ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อประมาณวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา

นพ.ฐาปนวงศ์กล่าวถึงผู้ป่วยรายล่าสุดว่าเป็นหญิงอายุ 18 ปี ไปซื้อบิ๊กอายส์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแถวบางลำภู นำมาใส่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่พอใส่แล้วที่ตาขวามีอาการแสบตา ระคายเคือง น้ำตาไหลต่อเนื่อง แล้วไปขยี้ตา และถอดบิ๊กอายส์ออก ต่อมาช่วงเย็นมีอาการตาบวม จึงเข้ามาพบแพทย์ที่ รพ.พระนั่งเกล้า เมื่อตรวจพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณกระจกตาดำข้างขวา โดยเชื้อแบคทีเรียได้กัดกินบริเวณกระจกตาดำมีแนวยาว 5 มิลลิเมตรและลึกลงไปประมาณ 1 มิลลิเมตร จนเกือบทะลุกระจกตาดำ ซึ่งโชคดีมากที่มารักษาทัน เพราะหากมาช้า 1 วัน ตาบอดแน่นอน ส่วนเชื้อแบคทีเรียที่พบนั้น ชื่อว่า ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า (Pseudomonas aeruginosa) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ตามสภาพแวดล้อมทั่วไป ซึ่งหากมีบาดแผลแล้วติดเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว จะมีอันตรายมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายนี้โชคดีที่มาพบแพทย์ได้ทันทำให้ตาไม่บอด แต่เมื่อรักษาจนหายแล้วจะเกิดแผลเป็นที่ตาดำ ส่งผลให้เวลามองแล้วจะไม่ชัดเหมือนคนปกติ

จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า กล่าวต่อไปว่าคอนแทคเลนส์มาตรฐานจะมีขนาดมาตรฐานทางการแพทย์ คือเส้นผ่าศูนย์กลาง 13.5-14.5 มิลลิเมตร ส่วนบิ๊กอายส์จะมีขนาดตั้งแต่ 15-19 มิลลิเมตร ซึ่งใส่แล้วจะทำให้ดวงตาคับแน่น และผู้ใส่จะเกิดอาการไม่สบายตาต้องขยี้ตาบ่อยๆ เป็นผลให้เกิดแผลถลอกที่กระจกตาดำ และเชื้อโรคอาจเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบเป็นแผลที่กระจกตาดำทำให้ตาบอดได้ ขณะเดียวกันหากใส่เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการเยื่อบุตาขาวอักเสบจากอาการ แพ้เรื้อรัง ทำให้เยื่อบุตาขาวแห้งและอาจทำให้กระจกตาอักเสบ เกิดเป็นโรคตาแห้งคือเยื่อบุตาขาวแห้งโดยถาวร เกิดอาการตาผ่าวร้อน แพ้แสง ซึ่งจะเกิดความรำคาญแก่ดวงตาไปตลอดชีวิต ขอเตือนว่าการใช้คอนแทคเลนส์ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งต้องดูแลรักษาอย่างเคร่งครัด ต้องเก็บรักษาในน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะและปิดฝาให้สนิท เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ทุกครั้งที่ใช้ ไม่ใช้น้ำยาแช่เลนส์ซ้ำๆห้ามล้างคอนแทคเลนส์ด้วยน้ำประปา เนื่องจากสารคลอรีนอาจทำให้เลนส์เสื่อมสภาพ และต้องล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสคอนแทคเลนส์ทุกครั้ง

ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าว ว่า ได้รับแจ้งมาจากนพ.ฐาปนวงศ์จึงส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบจุดที่ผู้ป่วยระบุว่า ไปซื้อบิ๊กอายส์ พบว่าเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อสอบถามกลับไปยังผู้ป่วยพบว่าไปซื้อบิ๊กอายส์มาเก็บไว้นานแล้วจึงนำ มาใส่ การใส่บิ๊กอายส์หรือคอนแทคเลนส์ หากเกิดการระคายเคืองดวงตาให้รีบพบแพทย์ทันที และโดยปกติแล้วการใส่บิ๊กอายส์หรือคอนแทคเลนส์จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อน โดยในปัจจุบันมีบิ๊กอายส์ที่ได้รับอนุญาตจากทาง อย. เพียง 2-3 ยี่ห้อเท่านั้น ซึ่งประชาชนสามารถโทร.มาสอบถามได้ที่เบอร์สายด่วน อย. โทร.1556



        





ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วิจัยชี้นั่งสมาธิช่วยรักษาโรคจิต

นักวิจัยพบว่า การฝึกสมาธิแค่เพียงเดือนเดียวสามารถช่วยให้ระบบประสาทดีขึ้นได้ นับเป็นวิธีการรักษาแบบใหม่สำหรับผู้ป่วย

วิจัยชี้นั่งสมาธิช่วยรักษาโรคจิต

นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาผลของการฝึกทางกายผสมผสานการฝึกทางจิต หรือไอบีเอ็มที (integrative body-mind training-IBMT) ของนักศึกษามหาวิทยาลัย 2กลุ่ม

หลังผ่านไป 4สัปดาห์ ซึ่งใช้เวลารวม  11ชั่วโมง ผลการสแกนพบว่า สมองของอาสาสมัครเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ใยประสาท หรือ "สารสีขาว" ได้เกิดขึ้นอย่างหนาแน่น ทำให้สมองมีจุดเชื่อมต่อสัญญาณมากขึ้นขณะเดียวกันไขมันที่ห่อหุ้มปกป้องใย ประสาท หรือไมอีลิน ก็มีมากขึ้นด้วย

ผลดังกล่าวปรากฏให้เห็นที่ส่วนหน้าของสมองบริเวณคอร์เท็กซ์ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรม

หากระบบประสาทในส่วนนี้ทำงานบกพร่อง คนไข้ก็จะมีปัญหาทางจิต เช่น สมาธิสั้น, สมองเสื่อม,ซึมเศร้า และเป็นโรคจิตเภท

ผลวิจัยนี้ได้ต่อยอดจากงานวิจัยก่อนหน้านี้ ซึ่งได้ใช้เทคนิคสแกนสมองแบบเอ็มอาร์ไอวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของสมองที่ เกิดจากไอบีเอ็มที โดยนักวิจัยได้นำผลการศึกษา 2ชิ้นเมื่อปี2553มาวิเคราะห์ผลการสแกนดังกล่าวเพิ่มเติมอย่างลึกซึ้งยิ่ง ขึ้น

งานวิจัยชิ้นแรกได้ศึกษานักศึกษาอเมริกันที่มหาวิทยาลัยออริกอน ชิ้นที่ 2ศึกษานักศึกษา 68คนของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีต้าเหลียนในประเทศจีน

นักวิจัยพบว่า ใยประสาทมีความหนาแน่นขึ้นหลังจากการฝึกไอบีเอ็มทีเป็นเวลา 2สัปดาห์ แต่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงของการเกิดไมอีลิน อย่างไรก็ดีหลังผ่านไปหนึ่งเดือน พบว่าทั้งใยประสาทและไมอีลินได้มีปริมาณเพิ่มขึ้น

นักศึกษาที่ฝึกไอบีเอ็มทียังรายงานด้วยว่า ตนเองมีอารมณ์ดีขึ้น มีความโกรธ ความรู้สึกซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเหนื่อยล้าลดลงนอกจากนี้ยังมีฮอร์โมนความเครียด คอร์ติโซล ลดลงด้วย

หัวหน้าทีมวิจัย ศาสตราจารย์ไมเคิล พอสเนอร์ จากมหาวิทยาลัยออริกอน บอกว่า ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์และสติปัญญา

ผลวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences

นักประสาทวิทยา ดร.เอเลนา แอนโตโนวา จากสถาบันจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ลอนดอน บอกว่า ข้อค้นพบนี้นับเป็นข่าวดี หากการฝึกสมาธิแค่ 11ชั่วโมงทำให้ใยประสาทเกิดการเชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่นยิ่งขึ้นและมีการ ปกป้องดีขึ้น ดังนั้นการทำสมาธิซึ่งใครๆ ก็ทำได้ในเวลาใดก็ได้ จะช่วยให้จิตใจแจ่มใสและมีอารมณ์คงเส้นคงวา


ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

ตร.เสี่ยง "มะเร็งปอด" ครึ่งปี 11 ราย

หลังจากองค์การอนามัยโลก (ฮู) ออกมาประกาศว่า ควันไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอดโดยตรงนั้น หากมองถึงอาชีพที่เสี่ยงต่อการสูดดมควันพิเศษจากท่อไอเสียรถยนต์เป็นเวลา นานๆ คงหนีไม่พ้น "ตำรวจจราจร" ซึ่งสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค ก็ยืนยันว่า ตำรวจจราจรคือหนึ่งในอาชีพเสี่ยงต่อการเป็น "มะเร็งปอด" จากพิษควันท่อไอเสียเครื่องยนต์บนท้องถนนมากที่สุด

ตร.เสี่ยง "มะเร็งปอด" ครึ่งปี 11 ราย

จากสถิติข้อมูลผู้ป่วย "มะเร็งปอด" โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม-พฤษภามค 2555 พบว่ามีผู้ป่วยที่เป็น "ตำรวจชาย-หญิง" ตั้งแต่ระดับชั้นประทวนจนถึงระดับสัญญาบัตรอายุระหว่าง 40-70 ปี เข้ามารักษาโรคมะเร็งปอดถึง 11 ราย โดย 4 รายใน 11 ราย เป็น "ตำรวจจราจร" !!

"ดาบตำรวจ" วัย 58 ปี 1 ใน 4 ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด เคยเป็นตำรวจจราจรมานานกว่า 30 ปี บอกกับ "คม ชัด ลึก" ว่า โดยส่วนตัวเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า แต่ตลอดชีวิตการทำงานอาชีพตำรวจ ซึ่งเริ่มจากตำรวจจราจรคอยโบกรถ จัดการจราจร ขี่รถจักรยานยนต์สายตรวจมากว่า 30 ปี ก็ไม่รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติแต่มาเมื่อปลายปี 2551 เริ่มมีอาการไอเรื้อรังจนไอเป็นเลือด ตอนแรกคิดว่าเป็นวัณโรค แต่พอไปตรวจที่โรงพยาบาลเมื่อต้นปี 2552 จึงรู้ว่าเป็นโรคมะเร็งปอดระยะที่ 3 แล้ว

"ผมไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า แต่นอนดึก ตื่นเช้า ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อต้องมาสัมผัสกับมลภาวะเรื่อยๆ ก็เกิดการสะสมแม้ว่าเวลาปฏอบัติหน้าที่ จะมีหน้ากากปิดปากแต่ก็แค่กันไว้ส่วนหนึ่ง ไม่เพียงพอ ผมจึงอยากเตือนน้องๆ ตำรวจจราจรว่าควรดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่สูบบุหรี่ เพราะอาจเร่งให้เกิดมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น" ดาบตำรวจวัย 58 ปีแนะนำ

สำหรับดาบตำรวจวัย 58 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดรายนี้ เคยไปตรวจร่างกายประจำปีที่โรงพยาบาล ก็เริ่มพบสิ่งผิดปกติที่ปอดเพียงแต่ฟิล์มเอกซเรย์นั้นมองเห็นไม่ชัดเจน จนกระทั่งมารู้ว่ามีตุ่มในปอด ซึ่งไปขวางการทำหน้าที่ดักฝุ่น ทำให้ปอดเริ่มมีปัญหา แม้ว่าจะรักษาตุ่มนั้นหายเรียบร้อยแล้ว แต่มะเร็งก็ได้ลามไปยังกระดูกสันหลังข้อ ที่ 8-9 และเพิ่งผ่าตัดไปเมื่อปี 2553 ก่อนจะมาตรวจอีกครั้งและพบว่าเชื้อมะเร็งยังมีอยู่ในปอดด้านซ้ายต้องรักษา ด้วยวิธีคีโม จนมีผลข้างเคียงทำให้ผมร่วง

พ.ต.อ.หญิง พรเพ็ญ บุนนาค นพ.(สบ 5) กลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว รพ.ตำรวจ กล่าว ถึงแนวทางคัดกรองและดูแลให้คำแนะนำตำรวจในกลุ่มเสี่ยงว่า ในแต่ละวันนั้นตำรวจจราจรจะมีการหายใจนำสารพิษ มลภาวะฝุ่นละออง เข้าสู่ร่างกายทุกวัน บวกกับความเครียดที่สะสมก็อาจทำให้กลายเป็นบ่อเกิดของโรคมะเร็งได้ ซึ่งการตรวจสุขภาพประจำปีของตำรวจจราจรนั้นจะเน้นตรวจในเรื่องของปอดว่าการ ทำงานเป็นปกติหรือไม่

"เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นมีอาการที่บ่งบอกจากโรคที่เกิดจากการทำงาน ตามหลักอาชีวเวชศาสตร์ต้องมีการเปลี่ยนหน้าที่ในการทำงาน ให้เข้าไปทำอย่างอื่นแทน ซึ่งการตรวจสุขภาพประจำปีทุกครั้ง จะย้ำเสมอว่า ในการทำงานควรจะต้องมีหน้ากากที่มีคุณภาพที่สามารถคัดกรองกลิ่น ฝุ่นละออง เชื้อโรค สารเคมี เบื้องต้นได้ และไม่ควรสูบบุหรี่ เพราะที่ผ่านมาพบว่าการสูบบุหรี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เสี่ยงต่อการเป็นทะ เร็งปอด นอกจากการสูดดมควันพิษด้วย" พ.ต.อ.หญิง พรเพ็ญ กล่าว

ด้าน นพ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์ ผอ.สำนักโรคจากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า "ตำรวจจราจร" มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการประกอบอาชีพในประเทศไทย เนื่องจากต้องพบเจอกับสภาวะในการทำงานที่ไม่ดี ทั้งควันพิษต่างๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อลดความเสี่ยงในแต่ละปี จึงต้องมีการสำรวจสุขภาพของตำรวจจราจร แต่ขณะเดียวกันการสูบบุหรี่ก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดเช่น กัน

ส่วนผลกระทบจากควันพิษบนท้องถนนนั้น นพ.สมเกียรติ อธิบายว่า จะเกิด 2 แบบคือ แบบเฉียบพลัน ที่เป็นอาการเบื้องต้น ได้แก่ ไอ แสบตา แสบคอ และแบบเรื้อรัง คือเมื่อสัมผัสไปนานวันเข้าก็อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดตามมา ได้ ทั้งนี้ ปัจจัยจากการเกิดนั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับว่ามากน้อยแค่ไหนระยะเวลา ที่สัมผัส รวมถึงสุขภาพส่วนตัวด้วย

"การสวมหน้ากากขณะที่ปฏิบัติงานจะ ไม่ได้ช่วยป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงต้องหมั่นหาที่ระบายอากาศ ผลัดเปลี่ยนอยู่ในห้องปรับอากาศ หรือในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก และถ้าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงอยู่แล้วก็ไม่ควรจะสูบบุหรี่ก็จะช่วยลดความเสี่ยง ได้บ้าง" นพ.สมเกียรติแนะนำทิ้งท้าย







ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก โดย ทีมข่าวรายงานพิเศษ

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks