น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

โรคอ้วนในวัยทอง ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม !!


ในปัจจุบันโลกของเรามีจำนวนประชากร 7 พันล้านคน และในจำนวนนี้ ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 12.8  ซึ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่า ในปัจจุบันโลกของเรามีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ทางภาครัฐและเอกชนหันมาตระหนักถึงปัญหาของโรคภัยต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับวัยชราที่มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
โดยเฉพาะปัญหาภาวะอ้วนในวัยทอง ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดและมะเร็ง กล่าวคือ ภาวะโรคอ้วนทำให้เกิดโรคต่างๆ ที่ร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดในสมอง ที่มีอัตราการเสียชีวิตทั่วโลกในปี 2548 สูงถึง 5.7 ล้านคน/ปี โดยเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนอายุ 60 ปีขึ้นไป
รศ.พญ.มยุรี จิรภิญโญ นายกสมาคมสตรีวัยหมดระดูแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมวัยหมดระดูนานาชาติ (The International Menopause Society) โดยความร่วมมือกับ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ได้กำหนดให้วันที่ 18 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันสตรีวัยทองโลก และที่ผ่านมา ได้มีการร่วมมือในการรณรงค์ ให้ความรู้แก่ประชาชนถึงความรุนแรงของโรคอ้วนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
ช่วงชีวิตในแต่ละวัย 
ในช่วงชีวิตของสตรีจะมี 3 วัย คือ วัยเด็ก วัยเจริญพันธุ์  และ วัยหมดระดู โดย “วัยเด็ก ” จะนับตั้งแต่แรกเกิด จนถึงเริ่มเป็นวัยรุ่นสาว กินเวลาประมาณ 10-12 ปี ในวัยนี้รังไข่ยังไม่มีการผลิตฮอร์โมนจนกว่าจะถึง “วัยเจริญพันธุ์ ” ซึ่งวัยเจริญพันธุ์ของสตรีเป็นวัยที่สามารถมีบุตรได้ และยังมีประจำเดือน  ในวัยนี้ร่างกายจะได้รับอิทธิพลของฮอร์โมนจากรังไข่ ได้แก่ เอสโตรเจน ทำให้ร่างกายเจริญเปลี่ยนแปลงจากเด็กหญิง มาเป็นเด็กสาว และมีการเจริญเติบโตของอวัยวะเพศอย่างสมบูรณ์ โดยจะมีการตกไข่ออกจากรังไข่เดือนละหนึ่งครั้ง สามารถมีบุตรเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ได้ และมีประจำเดือนหรือระดูสม่ำเสมอทุกเดือน ตราบใดที่ยังไม่ตั้งครรภ์
ส่วน “วัยหมดประจำเดือน” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “วัยทอง” จะเป็นวัยที่รังไข่หยุดทำงาน ไม่มีการตกไข่ และหยุดสร้างฮอร์โมน สังเกตได้จากการมีประจำเดือนหรือระดูมาไม่ปกติ และหายไปในที่สุด ช่วงตั้งแต่มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเป็นต้นไป เรียกว่า วัยหมดประจำเดือน เกิดขึ้นในช่วงอายุ 45-55 ปี ซึ่งโดยเฉลี่ยที่เริ่มเข้าสู่วัยหมดระดูของสตรีไทย อยู่ที่อายุประมาณ 48 ปี ซึ่งจะมีเวลาเหลืออีกประมาณ 20-30 ปีกว่าจะสิ้นอายุขัย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าวัยหมดระดูมีเวลานานถึง 1 ใน 3 ของชีวิตสตรี
อย่างไรก็ตาม สำหรับสตรีแล้ว ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ต้องเตรียมตัว คือ “ช่วงปลายของวัยเจริญพันธุ์” ซึ่งรังไข่จะทำงานน้อยลง มีการตกไข่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่มีการตกไข่ แต่ยังผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ ระยะนี้จะสังเกตได้ว่าประจำเดือนมาไม่ค่อยปกติ คือมาเร็วหรือช้ากว่าธรรมดา เลือดออกมากและนาน หรือออกน้อย หรือไม่สม่ำเสมอเหมือนเดิม อาการผิดปกตินี้มักเกิดในช่วงอายุเลย 35 ปีขึ้นไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน
โรคอ้วน” ภัยคุกคามสตรีวัยทอง
พญ.มยุรี กล่าวว่า สำหรับการรณรงค์ในปีนี้ สมาคมฯ จะเน้นการดูแลสุขภาพโดยการควบคุมน้ำหนัก และตระหนักให้เห็นถึงความสำคัญของโรคอ้วน เพราะเราจะพบว่า สตรีในวัยทองเมื่อฮฮร์โมนหมดไป จะมีอาการหงุดหงิดง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน ซึ่งเป็นอาการที่ไม่ได้รุนแรงนัก แต่ปัญหาที่รุนแรงกว่า คือโรคเรื้อรังที่เกิดจากวัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเกิดจากกระบวนการชราภาพของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย นอกจากกระบวนการตามธรรมชาติแล้ว ฮอร์โมนก็มีส่วนเช่นกัน
“ถ้าหากมีความอ้วนเข้ามาเสริมด้วย ความอ้วนก็จะทำให้ความรุนแรงของโรคมีมากขึ้น ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้น เมื่ออายุ 40 ปี  ขึ้นไป ก็จะพบว่า ทำไมถึงต้องมีการตรวจร่างกาย เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิต เบาหวาน ไขมันในเลือด มะเร็ง ซึ่งมีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต จนถึงขั้นเสียชีวิต มีการวิจัยออกมาพบว่า ผู้ที่อายุ 50-60 ปี จะเป็นช่วงวัยที่น้ำหนักขึ้นได้ไวที่สุด โดยมีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักเฉลี่ย 0.5 ก.ก / ต่อปี ซึ่งหากไม่ได้รับการควบคุมก็จะมีการเพิ่มของน้ำหนัก ก็จะกลายเป็นโรคอ้วนในที่สุด” พญ.มยุรี กล่าว
เมื่อเปรียบเทียบกับในวัยอื่น ปัจจัยที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ก็จะขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหารเป็นหลัก ซึ่งจะต่างจากวัยหมดประจำเดือน ที่ถึงแม้ว่าจะมีการควบคุมอาหารแล้ว บางรายก็ยังไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุด จึงต้องควบคุมตั้งแต่ก่อนจะถึงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คนที่อ้วนจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือดม ากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติถึง 3 เท่า เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลสำคัญในการรณรงค์เพื่อให้ควบคุมน้ำหนักก่อนถึงวัยหมดประจำเดือน เพราะถ้าเราควบคุมน้ำหนักได้ดี โรคเรื้อรังต่างๆ ที่จะต้องทำให้วิ่งเข้าออกโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ ก็จะเกิดน้อยลง โอกาสในการเสียชีวิตก็จะน้อยลงตามไปด้วย
“เราอาจจะเริ่มควบคุมน้ำหนักตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ซึ่งเดี๋ยวนี้คนมีอายุยืนยาวมากขึ้น ปัจจุบันจะเห็นว่าสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว เพราะตัวเลขล่าสุดที่ออกมาคนไทย 65 ล้านคน จะมีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปประมาณ 8 ล้านคน เฉลี่ยอยู่ที่ 12 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าสังคมใดมีปริมาณผู้สูงอายุเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ นั้นหมายความว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นภาครัฐจึงต้องมีการเตรียมรับกับสังคมผู้สูงอายุด้วย”
ใส่ใจเรื่องอาหาร-ออกกำลังกาย
ปัญหาในการออกกำลังกายและการรับประทานอาหาร เป็นปัญหาที่สำคัญของคนในสังคมเมือง โดย พญ.มยุรี กล่าวว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่ มักจะรับประทานอาหารที่เป็น Fast food ซึ่งเป็นอาหารที่อันตราย เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน ดังนั้นหากไม่สามารถทำอาหารรับประทานเองได้ อย่างน้อยก็ควรเลือกประเภทอาหาร โดยหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โปรตีนสูง หวาน เค็ม เป็นต้น แต่ให้เน้นที่ผักและผลไม้มากขึ้น 
ส่วนการออกกำลังกาย พญ.มยุรี แนะนำว่า อย่างน้อยที่สุด หากได้ยืดเส้นยืดสายบ้างก็จะช่วยได้ เช่นการเดินออกไปจ่ายตลาด หรือเดินเล่นอย่างน้อยวันละ 30 -60 นาที ก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งการเดินออกกำลังกาย ควรจะเดินในช่วงเช้า-เย็น ที่มีแดดอ่อนๆ เพื่อให้ได้รับแสงแดดที่มีวิตามินดี ที่ทำให้กระดูกแข็งแรง ทั้งนี้เคยมีการสำรวจพบว่า ในคนชนบทจะมีมวลกระดูกที่แข็งแรงกว่าคนในเมือง เนื่องจากได้รับแสงแดดที่มีวิตามินดี ขณะที่คนในเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่ค่อนข้างไม่ได้รับแสงแดด เนื่องจากคนในเมืองมักทำงานในออฟฟิศเป็นหลัก รวมถึงคนผิวขาวในประเทศซีกโลกเหนือ ที่มีแสงแดดน้อย เช่นในทวีปยุโรป ก็จะมีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน
“ในปัจจุบันคนไทยเป็นโรคอ้วนแล้ว 30 เปอร์เซ็นต์ เราจึงต้องตระหนักถึงภาวะโรคอ้วนในวัยสูงอายุให้มากและควรมีการดูแลและควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ตั้งแต่ในวัยเด็ก วัยหนุ่มสาวและช่วงวัยกลางคนก่อนจะเข้าสู่วัยสูงอายุ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ” พญ.มยุรี กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบันแม้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้าไปมาก โดยมนุษย์ทุกวันนี้มีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การวางแผนป้องกันโรคร้าย ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงอีกด้วย ซึ่งวิธีง่ายๆ และเป็นพื้นฐานที่สุด คือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะเมื่อไม่ป่วยง่ายๆ ก็ไม่ต้องไปพบแพทย์หรือไปซื้อยามากินบ่อยๆ ให้เสียเวลาทำงาน และเสียรายได้ที่ควรจะสามารถเก็บออมไว้ยามจำเป็น



ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า


PG&P
น้ำมันรำข้าว  สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ทำไมคุณพ่อ..."ต้องลาคลอด"

บทบาท “คุณพ่อ” ที่สำคัญ
1. ลดภาวะซึมเศร้าให้แม่หลังคลอด
คุณแม่ที่ดูแลลูกเพียงลำพงอาจเกิดภาวะซึมเศร้าได้ เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ความเหนื่อยล้าจากการให้นมและดูแลลูก 24 ชั่วโมง คุณพ่อสามารถช่วยอุ้มลูก โอบกอด หรือนวดผ่อนคลาย จะทำให้คุณแม่มีกำลังใจ และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
2. ช่วยให้นมแม่ไหลออกมาได้ดี
หลังคลอด คุณแม่จะเหนื่อยล้า อ่อนเพลียและมีภาวะเครียด หากพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อการไหลของนมแม่ ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการให้นม (โปรแลคติน/อ๊อกซิโทซิน) ความเรียดจะทำให้ผลิตน้ำนมได้น้อยลง หากคุณพ่อช่วยดูแลลูกและแบ่งเบาภาระงานบ้าน เพื่อให้แม่ได้มีเวลาพัก และไม่เครียด หรือกังวลในการเลี้ยงลูก
3. เพิ่มความรักความผูกพันพ่อ-ลูก
ผลวิจัยชี้ชัดว่า พ่อที่ได้อุ้มลูกตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังคลอด ได้โอบกอดสัมผัสอย่างทะนุถนอม หรือได้ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือจับนิ้วมือนิ้วเท้าเล่น พ่อจะมีความผูกพันกับลูกมากกว่า ไม่ใช่คุณแม่ฝ่ายเดียวที่ได้ใกล้ชิดลูก คุณพ่อก็ทำได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องใช้เวลาและความใส่ใจมากขึ้นเท่านั้น
4. หมดปัญหาพี่เลี้ยงเด็ก
พ่อแม่หลายท่านต้องทำงานหาเงินจนแทบไม่มีเวลาเลี้ยงดูลูก จึงต้องพึ่งพี่เลี้ยงแทน พบปัญหาพี่เลี้ยงเด็กทุบตี ทำร้ายเด็กอยู่บ่อยๆ เพื่อลดปัญหาดังกล่าว คุณพ่อควรจัดสรรเวลามาเลี้ยงลูกบ้าง หรือควรมองหาคนที่ไว้ใจได้ เช่น ปู่ยา ตายาย หรือยายพี่น้อง
5. เป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ลูก
ลูกสามารถเรียนรู้ จดจำ และเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ เช่น การเล่น การเล่านิทาน การร้องเพลงกล่อมลูก จะทำให้ลูกรับรู้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยน ซึ่งคุณพ่อสามารถช่วยเติมความสุขนี้ได้ คุณพ่อคือต้นแบบที่ดีของลูก เมื่อลูกเติบใหญ่ ก็จะเป็นพ่อแม่รุ่นใหม่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีจากรุ่นสู่รุ่น
"สามี มีบทบาทเป็นพ่อในการดูแลลูกร่วมกับแม่มากขึ้น เริ่มตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ คลอดและหลังคลอด คุณพ่อควรลามาช่วยคุณแม่หลังคลอดทันที เพราะ 15 วันแรกสำคัญที่สุด"


ที่มา : มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย
PG&P
น้ำมันรำข้าว  สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ความมั่นคงทางอาหาร...เริ่มจากครัวชุมชน

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความมั่นคงทางอาหาร...เริ่มจากครัวชุมชน

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา นานาประเทศต่างต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติ รูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหาร หลายประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตขาดแคลนอาหาร โดยเฉพาะเมื่อผลผลิตทางการเกษตรมีราคาแพง และไม่สามารถผลิตได้เพียงพอตามความต้องการ เนื่องในวันอาหารโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 16 ตุลาคม ของทุกปี หลายหน่วยงานจึงมีความพยายามที่จะร่วมกันฝ่าวิกฤต ก่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหารรวมถึงประเทศไทยด้วย
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้จัดการแผนงานความมั่นคงทางอาหาร โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี บอกว่า ในปี 2555 คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงอาหาร ได้มอบหมายให้แผนงานความมั่นคงทางอาหารร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดประชุมเพื่อขับเคลื่อนให้มีความมั่นคงทางอาหาร โดยคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ได้วิเคราะห์ วางแผน และพยายามหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มาตลอด โดยตั้งเป้าว่าก่อนวันอาหารโลก ในวันที่ 16 ตุลาคม จะมีการจัดประชุมแสดงความคิดเห็นเรื่อง “การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ความมั่นคงอาหารจากชุมชนสู่ระดับชาติ” โดยนำเสนอข้อมูลเชิงประจักษ์ในแต่ละพื้นที่ แลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และมุมมองของมิติความมั่นคงอาหาร ในเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ และการปรับตัวของชุมชนในแต่ละท้องถิ่น  ระหว่างคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงอาหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิจัย นักวิชาการ นักพัฒนา และผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน เพื่อสื่อสารความเข้าใจเกี่ยวกับความมั่นคงอาหารในบริบทประเทศไทยทุกมิติและทุกระดับตั้งแต่ ชุมชน ท้องถิ่น จนถึงระดับชาติ เพื่อให้เกิดแนวคิดและทิศทางในการจัดทำแผนงานเชิงปฏิบัติการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงอาหารในทุกระดับ เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยด้านความมั่นคงอาหารที่เหมาะสมและจำเป็นต่อสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต
“ในภาพรวมของประเทศ เราอาจเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ของโลกมีบริษัทที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก แต่แท้จริงแล้วประเทศไทยยังมีความไม่มั่นคงทางอาหารอยู่ ซึ่งข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ในช่วงปี 2547 -2549 ประเทศไทยมีประชากรเป็นผู้ขาดสารอาหารถึง 17% ทำให้การเจริญเติบโตของเด็กอยู่อัตราที่ต่ำ ดังนั้น ในภาพรวมดูเหมือนดี แต่ในทางปฏิบัติถือว่ายังมีปัญหา ดังนั้น การแก้ปัญหาเราจะมองแต่ภาพใหญ่อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องเริ่มจากชุมชน”
นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สำคัญที่เป็นไฮไลท์ในงานนี้จะมีการนำเสนอใน 3-4ประเด็นสำคัญ เช่น วิเคราะห์ภาพใหญ่ของระบบโลกและผลกระทบด้านอาหาร การถอดบทเรียนการสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยยก 3 พื้นที่ตัวอย่าง 1.ความมั่นคงอาหารของชุมชนในภูมินิเวศน์ชายฝั่งทะเล อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ที่มีความโดดเด่นในกระบวนการป้องกันภัยคุกคามความมั่นคงด้านอาหาร เช่น ผลกระทบจากการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่ง มีการสร้างท่าเรือ การทำหารประมงที่ทำลายร้าง เป็นต้น 2.ความมั่นคงอาหารชุมชนในภูมินิเวศน์ป่า/ภูเขาที่ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชุมชนชาติพันธุ์มีการผลักดันให้มีการทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืน การลดการใช้สารเคมีในการเกษตร ส่งเสริมพันธุ์พืชที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ป่าไม้ พืชพรรณท้องถิ่น และ3.ความมั่นคงอาหารชุมชนในภูมินิเวศน์นาข้าวและการแลกเปลี่ยนอาหารของเมืองชนบทในภาคอีสาน ที่ จ.ยโสธร จ.สุรินทร์ จ.มหาสารคาม ซึ่งมีความโดดเด่นในการทำเกษตรอินทรีย์เพื่อรับประทานเองและจำหน่ายในตลาดท้องถิ่นที่มีหลายระดับ เป็นการเอื้ออำนวยให้กับคนเมืองสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีได้
นอกจากนี้จะมีการนำเสนอตัวชี้วัดเครื่องมือที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา โดยมีการทำตัวชี้วัดใน 30 ชุมชน เช่น ดูว่าในชุมชนมีทรัพยากรเพียงพอหรือไม่ สามารถเข้าป่าหาอาหารตามธรรมชาติได้หรือไม่ หรือสามารถผลิตอาหารได้เองหรือไม่ มีสัดส่วนอย่างไร เป็นต้น โดยเน้นชุมชนท้องถิ่นที่สามารถพึ่งพิงตนเองด้านอาหารได้ ส่วนในชุมชนเมืองก็มีความสำคัญ ได้มีการนำเสนอเรื่อง “สวนผักคนเมือง” ที่เป็นกระแสใหญ่มากและแนวโน้มของเมืองใหญ่ทั่วโลก โดยทั้งชุมชนเมืองและชนบทจะต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกัน
นายวิฑูรย์ ทิ้งท้ายว่า อย่างไรก็ดี สถานการณ์ปัจจุบันวิกฤตด้านอาหารยังคงอยู่ แม้ว่าสินค้าการเกษตรบางชนิดในช่วงนี้จะมีราคาตกต่ำ แต่ก็เป็นเหตุการณ์แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งความสามารถในการควบคุมราคาสินค้าในตลาดไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่คนไทยและคนทั่วโลกที่ต้องเผชิญอยู่ทุกปี เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมาก เช่น เมื่อ 2-3 ปีก่อน เกิดภัยธรรมชาติในเวียดนาม หรือ สหรัฐอเมริกา ก็ส่งผลกระทบทำให้ราคาอาหารถีบตัวสูงขึ้น ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องเตรียมความพร้อม ยิ่งหากได้ประกาศตัวเป็นครัวของโลก เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร การมองภาพใหญ่อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องเริ่มจากชุมชนไปสู่ระดับชาติ
หากเราสามารถสร้างความมั่นคงด้านอาหารในชุมชนได้ ความหวังที่จะเป็นครัวของโลกคงไม่ไกลเกินเอื้อม...

PG&P
น้ำมันรำข้าว  สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

คนกรุงเครียดข้าวของแพงมากที่สุด น่าห่วงวัยรุ่นเลือก "เหล้า" คลายเครียด

คนกรุงเทพฯ เครียดที่สุดเรื่อง ข้าวของแพง น้ำท่วม และรถติด ที่แย่กว่านั้นเยาวชนใช้ แอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือคลายเครียดมากที่สุด
 

 
             เนื่องในวันที่ 10 ตุลาคมที่จะถึงนี้เป็นวันสุขภาพจิตโลก ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง “สุขภาพจิตของคนกรุงท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจ สังคมและภัยธรรมชาติ”  โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนอายุ 18 ปี ขึ้นไปในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 1,474 คน พบว่า เรื่องที่ทำให้คนกรุงเทพฯ เครียดและวิตกกังวลมากที่สุดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาคือ ข้าวของราคาแพง ค่าครองชีพสูง ร้อยละ 28.6 รองลงมาคือกลัวน้ำท่วมกรุงเทพฯ ร้อยละ 15.4  และการจราจรติดขัด ร้อยละ 12.4  ขณะที่ร้อยละ 3.5 ไม่มีเรื่องเครียดและวิตกกังวลเลย   โดยบุคคลที่คิดว่าจะเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นที่พึ่งทางใจ ในยามเครียดและวิตกกังวลมากที่สุดคือ คนในครอบครัว ร้อยละ 60 รองลงมาคือ เพื่อน ร้อยละ 19.7  และคนรัก ร้อยละ 10
            สำหรับกิจกรรมที่คนกรุงเทพฯ นิยมทำเพื่อผ่อนคลายเมื่อเกิดความเครียดและวิตกกังวลมากที่สุดอันดับแรกคือ ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ ร้อยละ 98.3  รองลงมาคือ ช้อปปิ้ง ดูหนัง ทานข้าว ร้อยละ 88 และออกกำลังกาย ร้อยละ 84.5อย่างไรก็ตามคนกรุงเทพฯ บางส่วนเลือกที่จะใช้วิธีที่ไม่ดีเพื่อผ่อนคลายคือ ร้อยละ 52.9 เลือกที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  และร้อยละ 24.9 เลือกที่จะสูบบุหรี่   ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พบว่า เป็นกลุ่มเยาวชนอายุ 18-25 ปี มากที่สุด ร้อยละ 19.8
            เมื่อถามว่าคนกรุงเทพฯ จะมีความเสี่ยงต่อปัญหาทางสุขภาพจิต (เช่น โรควิตกกังวล โรคจิต โรคซึมเศร้า) มากน้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับคนต่างจังหวัด   กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 66 คิดว่าคนกรุงเทพฯ มีความเสี่ยงมากกว่า   ขณะที่ร้อยละ 29.3 คิดว่ามีพอๆ กัน   และร้อยละ 3.2 คิดว่ามีน้อยกว่า
             ด้านความเห็นต่อปัญหาความแตกแยกในสังคม ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาของแพง ในปัจจุบันมีส่วนทำให้สุขภาพจิตของคนไทยไม่ดี มากน้อยเพียงใด ร้อยละ 94.6 เห็นว่ามากถึงมากที่สุด และร้อยละ 5.4 เห็นว่าน้อยถึงน้อยที่สุด
              สุดท้ายเมื่อถามว่าปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนมากน้อยเพียงใด คนกรุงเทพฯ ร้อยละ 64.6 เห็นว่าไม่ค่อยให้ความสำคัญ   และร้อยละ 22.2 เห็นว่าไม่ให้ความสำคัญเลย ขณะที่ร้อยละ 13.2 เห็นว่าให้ความสำคัญมาก

ที่มา :  ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)

PG&P
น้ำมันรำข้าว  สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เชื้อราในยาเสี่ยง 'เยื่อหุ้มสมองอักเสบ'

นพ.ภาสกร อัครเสวี ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึงกรณีชาวอเมริกันติดเชื้อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อราเพิ่มจำนวนขึ้น ซึ่งทางการคาดว่าเกิดจากการได้รับเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในตัวยาสเตียรอยด์ระงับอาการปวดหลัง ส่งผลให้บริษัทต้องเรียกคืนยาทั้งหมดกว่า 17,600 หลอด ว่า สถานการณ์ติดเชื้อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบของคนอเมริกันเป็นการปนเปื้อนของผลิตภัณฑ์ภายในประเทศเท่านั้น ยังไม่มีการส่งผลิตภัณฑ์มาจำหน่ายในประเทศไทย
ส่วนเชื้อราที่ปนเปื้อนนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นเชื้อราชนิดใด แต่กรณีการเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อราโดยตรงจากผลิตภัณฑ์นั้น มีโอกาสเกิดได้น้อยมาก สำหรับในประเทศไทยกรณีดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่า 1% เมื่อเทียบกับการติดเชื้อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ
"สาเหตุหลักๆ ส่วนมากมักเกิดกับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ป่วยเอดส์ โดยเกิดจากเชื้อราคลิปโตคอคคัส ส่วนกรณีติดเชื้อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อราโดยตรงนั้น อาจเกิดได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการปนเปื้อนของเชื้อรา อาทิ ยาหยอดตา ยาหยอดหู แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก และประเทศไทยยังไม่มีรายงานการติดเชื้อจากสาเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ การติดเชื้อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจาก เชื้อราจะไม่มีการระบาดเป็นกลุ่ม ถือว่ามีความเสี่ยงที่ต่ำมาก" นพ.ภาสกร กล่าว


ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เตือนภัยเงียบ “โรคซึมเศร้า” ทุกวัยมีสิทธิ์ป่วย

 
               สธ. เผยโรคซึมเศร้า ภัยเงียบคุกคามสุขภาพ คาดจะกลายเป็นปัญหาอันดับ 1 ของโลกในอีก 18 ปีข้างหน้า เตือนมีสิทธิ์ป่วยทุกวัย ระบุคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปป่วยแล้วกว่า 1.5 ล้านคน  แต่เข้าถึงการรักษาน้อยเพียง 1 ใน 4 เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ คาดแนวโน้มมีเพิ่มจาก 5 กลุ่มเสี่ยง  ชี้โรคนี้เสี่ยงฆ่าตัวตายจบชีวิตสำเร็จสูงกว่าคนทั่วไป 20 เท่าตัว พร้อมแนะให้ประชาชนออกกำลังกาย  ป้องกันได้     
 
              เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ จังหวัดนครราชสีมา นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์คำรณ ไชยศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมระบบบริการดูแลปัญหาสุขภาพจิตประชาชนของโรงพยาบาลปักธงชัย อ.ปักธงชัย และได้เยี่ยมชมการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคทางกายและทางจิตด้วยดนตรีบำบัด ของโรงพยาบาลครบุรี อ.ครบุรี เพื่อใช้รักษาการเจ็บป่วยทางกายและโรคทางจิต เช่นโรคซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ ทำให้การไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความวิตกกังวล สร้างสมาธิ ร่วมกับการรักษาด้วยยา ส่งผลให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น  
 
               นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวว่า  วันที่ 10 ตุลาคม ทุกปี  องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day) ในปีนี้เน้นเรื่อง"ภาวะซึมเศร้า: วิกฤตโลก" (Depression: A Global Crisis)  เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกเร่งรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นภัยเงียบของสุขภาพ เป็นได้ทุกวัย หากไม่ได้รับการแก้ไขจะมีผลกระทบรุนแรง ทำงานหรือเรียนหนังสือไม่ได้ กลายเป็นภาระการดูแลรักษาอันดับ 1 ของทั่วโลกในอีก 18 ปีข้างหน้า หรือในพ.ศ.2573 ล่าสุดนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากกว่า 350 ล้านคน ผู้หญิงป่วยมากกว่าผู้ชาย ในจำนวนนี้เข้าถึงบริการรักษาเพียง 1 ใน 10  ส่วนในไทย จากข้อมูลของศูนย์โรคซึมเศร้าไทย กรมสุขภาพจิต รายงานว่าขณะนี้คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า 1.5 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 2 ของประชากรทั้งหมด สังคมไทยยังให้ความสำคัญโรคนี้น้อย ส่วนใหญ่เข้าใจว่าผู้ป่วยโรคนี้เป็นคนบ้า และจากข้อมูลการให้บริการของสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 100 คนเข้าถึงบริการได้รับการวินิจฉัยและรักษา 28 คนเท่านั้น   
 
              นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวต่อว่า จากการศึกษาพบว่า โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุถึงร้อยละ 70 ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และต้องทรมานในภาวะไร้สมรรถภาพมากเป็นอันดับ 3 ในหญิงไทย รองจากโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ารุนแรงจะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า   
 
              "ในการป้องกันแก้ไขและลดความสูญเสียจากโรคซึมเศร้า ในปี 2556 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นนโยบายบริการเชิงรุก 3 มาตรการหลักได้แก่  1.ให้กรมสุขภาพจิตเร่งรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า ว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่บ้าและรักษาหาย  2.ขยายบริการการรักษาโรคนี้ลงในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง ซึ่งโรคนี้รักษาได้ง่ายๆด้วยยาเพียงเม็ดเดียว กินวันละครั้ง ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 1 เดือน และต้องกินยาติดต่อกันนาน 6 เดือน จะสามารถป้องกันการกลับซ้ำได้ดีมาก และ3.กระตุ้นให้ประชาชนออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงและมีเหงื่อ เช่นวิ่ง ปั่นจักรยานอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากจะทำให้สมองหลั่งสารต้านเศร้า ซึ่งมีชื่อว่าเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ทำให้มีความสุข รู้สึกสบาย คลายความเครียดกังวลได้ดี" นายแพทย์สุรวิทย์กล่าว                                                                                        
 
               ด้านนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ขณะนี้กรมสุขภาพจิต ได้จัดระบบเฝ้าระวังโรคซึมเศร้าระดับจังหวัด โดยอบรมแพทย์ พยาบาลวิชาชีพกว่า 5,000 คน และอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เร่งค้นหาผู้ที่มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้าใน 5 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1.ผู้ป่วยโรคทางกายเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็ง ไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง 2.ผู้สูงอายุ 3.หญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด 4.ผู้ติดสุราและสารเสพติด 5.ผู้สูญเสียทรัพย์สินจำนวนมากหรือสูญเสียคนรัก ทั้งในภาวะปกติทั่วไปและประสบอุบัติภัยต่างๆเช่นน้ำท่วม เป็นต้น โดยการคัดกรองหาผู้ที่มีความเศร้าในชุมชนต่างๆ และโรงพยาบาลทุกแห่ง เพื่อนำผู้ป่วยเข้าสู่การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องโดยการรักษาด้วยยาหรือจิตบำบัด ตั้งเป้าจะเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ที่มีปัญหาให้ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70  ซึ่งจะช่วยให้สามารถป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายได้ด้วย
 
               นายแพทย์วชิระกล่าวต่อว่า โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่พบมากที่สุด เป็นโรคของสมอง เกิดจากความบกพร่องของสารสื่อประสาท ส่งผลให้มีภาวะผิดปกติทั้งร่างกายและจิตใจ  อาการที่เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้า ได้แก่ มีอารมณ์เศร้า ท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวังอย่างรุนแรง อาการเกิดตลอดวัน ทำอะไรก็ไม่เพลิดเพลิน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการเบื่อหน่าย หมดความสนใจในงาน การเรียนหรือกิจกรรมที่ทำอย่างมาก หากพบผู้ใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ต้องพาไปพบจิตแพทย์  
 
               ทั้งนี้ การป้องกันการเกิดโรคทางจิต หากประชาชนที่มีปัญหาเครียด  ไม่สบายใจ  นอนไม่หลับ ไม่ควรเก็บปัญหาไว้คนเดียว  ควรระบายปัญหาออก เช่น ปรึกษาผู้ที่ไว้วางใจที่สุดเพื่อหาทางออก ช่วยกันดูแลสมาชิกในครอบครัวสอบถามทุกข์สุข ทำกิจกรรม เช่น ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที จะสามารถคลี่คลายปัญหาสุขภาพจิตได้ดีมาก โดยร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ทำให้นอนหลับสนิททุกวัน และที่สำคัญไม่ควรใช้สารเสพติดหรือดื่มสุราดับทุกข์  เนื่องจากจะทำให้เกิดการเสพติด  นอกจากนี้สามารถโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 และ 1667 ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

'เด็กสุขภาพดี...จุดเริ่มต้นพัฒนาการเรียนรู้ที่ดี'

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เด็กเล็กในช่วงอายุ 1-3 ปี เป็นช่วงที่มีพัฒนาการและการเรียนรู้ที่รวดเร็ว ซึ่งมีความสำคัญมาก ดังนั้นการดูแลลูกน้อยให้มีพัฒนาการต่อเนื่องและไม่ถูกรบกวนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งองค์ประกอบในการสร้างการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ของเด็กเล็กอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญก็คือ "สุขภาพที่ดี" นั่นเอง
ปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บในเด็กยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนน่าวิตก นอกจากโรคไข้เลือดออก และมือเท้าปากที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ยังมีโรคติดต่อร้ายแรงอื่นๆ ที่ต้องระวัง โดยจาก สถิติพบว่าอุบัติการณ์การเสียชีวิตของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบทั่วโลก นับล้านรายนั้นมีสาเหตุการตายที่สำคัญจากโรคติดเชื้อ ซึ่งถือว่าเป็นภัยร้ายที่คุกคามเด็กเล็กทั่วโลก เช่น โรคปอดบ
การจัดประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและลดอุบัติการณ์เด็กเล็กเสียชีวิตจากโรคต่างๆ มาโดยตลอดแต่เป็นที่น่าวิตกว่า สังคมปัจจุบัน คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับเรื่องพัฒนาการด้านสติปัญญาและความฉลาดของเด็ก จนละเลยเรื่องการดูแลสุขภาพเด็ก อันที่จริงแล้วอยากให้คุณพ่อคุณแม่ตระหนักว่า "เด็กสุขภาพดี จุดเริ่มต้นพัฒนาการเรียนรู้ที่ดีของเด็ก" เพราะการที่เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีเป็นเด็กเรียนเก่งได้นั้น ต้องเริ่มจากการมีสุขภาพที่ดีก่อน ดังนั้น พ่อแม่ที่มีเด็กเล็กควรเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด และควรสร้างภูมิคุ้มกันเบื้องต้นให้ลูกตั้งแต่แรกคลอดด้วยการให้ทารกกินนมแม่ ดูแลสุขภาพและโภชนาการให้ได้รับสารอาหารที่ ครบถ้วน เลี้ยงดูให้เหมาะสมตามวัย สร้างสุขอนามัยที่ดีด้วยการล้างมือ ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม ให้เด็กพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ และทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ หากเด็กไม่สบายควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด และรีบปรึกษากุมารแพทย์ทันที เพื่อช่วยลดโอกาสเสี่ยง โรคท้องร่วง เป็นต้น โดยส่วนมากจะเป็นเด็กๆ ในประเทศที่กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียแฟซิฟิก และแอฟริกา เป็นต้น ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา องค์กรแพทย์ในประเทศและในระดับนานาชาติก็ได้มีเป็นโรคติดต่อร้ายแรง
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องให้ลูกน้อยได้รับวัคซีนพื้นฐานครบตามตารางวัคซีนแห่งชาติในทุกช่วงอายุ เพราะการป้องกันด้วยวัคซีน เป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากในปัจจุบัน รวมถึงวัคซีนเสริมต่างๆ ที่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงได้ เช่น วัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อรุนแรงที่เกิดจากเชื้อเอ็นทีเอชไอ และ เชื้อนิวโมคอคคัส ซึ่งสามารถทำให้เกิดโรคร้ายในเด็กเล็ก ที่อาจนำมาซึ่งความพิการและการสูญเสียชีวิตของเด็กได้
โดยเชื้อ 2 ชนิดดังกล่าวเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบในเด็กเล็ก และโรคติดเชื้อรุนแรงอื่นๆ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคปอดบวม หรือ ปอดอักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนป้องกันโรคท้องร่วงในเด็กเล็กจากเชื้อไวรัสโรต้า และวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น



ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

สธ.ห่วงโรคหัวใจตัวการ คร่าชีวิตคนไทย 108 คน / วัน

อธิบดีกรมควบคุมโรคเผยข้อมูลของสมาพันธ์หัวใจโลก พบสถานการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือดทั่วโลก มีประชากรเสียชีวิตสูงถึง 17.3 ล้านคนต่อปี ส่วนประเทศไทย ปี 53 มีผู้เสียชีวิต 39,459 คน หรือเฉลี่ยวันละ 108 คน แนะเปลี่ยนพฤติกรรมภายในบ้าน
ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยเนื่องในวันหัวใจโลกว่า จากข้อมูลของสมาพันธ์หัวใจโลก พบว่า สถานการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือดทั่วโลก มีประชากรเสียชีวิตสูงถึง 17.3 ล้านคนต่อปี ซึ่งมากกว่าประชากรที่เสียชีวิตจากโรคมาลาเรีย HIV/เอดส์ และวัณโรครวมกัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าในปี พ.ศ.2573 (ค.ศ.2030) จะมีการเสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้นเป็น 23 ล้านคนทั่วโลก และยังพบว่าในแต่ละปีผู้หญิงมากกว่า 8.6 ล้านคนทั่วโลก ที่เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด มีจำนวนมากกว่าผู้หญิงที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง วัณโรค เอดส์ และโรคมาลาเรียรวมกัน สำหรับประเทศไทย ในปี 2553 มีผู้เสียชีวิต จำนวน 39,459 คน หรือเสียชีวิตวันละ 108 คน 
ทั้งนี้ ข้อมูลในรอบ 5 ปีย้อนหลัง (พ.ศ.2549-2553) พบว่า อัตราการเสียชีวิตต่อแสนประชากรในกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สำคัญ มีดังนี้ โรคความดันโลหิตสูงจาก 3.8 ในปี 2549 เพิ่มเป็น 3.9 ในปี 2553 โรคหัวใจขาดเลือดจาก 19.4 ในปี 2549 เพิ่มเป็น 20.5 ในปี 2553 โรคหลอดเลือดสมองใหญ่ (อัมพฤกษ์-อัมพาต) จาก 20.6 ในปี 2549 เพิ่มขึ้นเป็น 27.5 ในปี 2553 จะเห็นได้ว่า อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคทั้งสามโรคเหล่านี้ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในปี 2555 นี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค มีแนวทางในการดำเนินงานกิจกรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานสาธารณสุข ดังนี้
1. กลุ่มเป้าหมายผู้หญิง ควรจัดกิจกรรมรณรงค์ นิทรรศการ และสื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด รู้ถึงปัจจัยเสี่ยงของตัวเอง รู้วิธีป้องกัน รู้อาการเตือนของโรค และการมีพฤติกรรมที่นำไปสู่การมีสุขภาพหัวใจที่ดี ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อตัวเองและครอบครัว เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน
2.กลุ่มเป้าหมายเด็ก ควรทำสื่อประชาสัมพันธ์ที่ให้ความรู้เรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด และคำแนะนำการมีพฤติกรรมที่นำไปสู่การมีสุขภาพหัวใจที่ดี ที่เหมาะสมกับเด็ก เช่น ใบปลิว โปสเตอร์ หรือโบชัวร์ ที่สอดแทรกความรู้ เนื้อหาที่เข้าใจง่าย ในรูปแบบของภาพการ์ตูน เพื่อให้ความรู้ที่เหมาะสมกับแก่เด็กวัย 7-10 ปี

3.ควรจัดกิจกรรมรณรงค์เรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยการเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริงทางเวที หรือการเขียนผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น website, facebook เป็นต้น
4.สนับสนุนส่งเสริมความร่วมมือของเครือข่าย ในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยบูรณาการร่วมกันในการดำเนินกิจกรรม เพื่อการเข้าถึงกลุ่มสังคมและชุมชนอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุม และได้ผลในระยะยาว
นพ.พรเทพ กล่าวว่า ทุกคนสามารถร่วมมือกันป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพ ดังนี้ การเลือกรับประทานอาหารสุขภาพที่ดีต่อหัวใจ ควรเตรียมอาหารสุขภาพไว้ที่บ้านเสมอ เริ่มจากผลไม้สักชิ้น หรือทำอาหารกลางวันเองไปรับประทานที่ทำงาน หรือที่โรงเรียน การมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ และควรกำหนดเวลาดูโทรทัศน์ให้น้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน เน้นให้มีกิจกรรมนอกบ้าน เช่น ขี่จักรยาน เล่นในสวน หันมาใช้รถจักรยาน หรือเดินแทนรถยนต์ การไม่สูบบุหรี่ โดยทำให้บ้านเป็นบ้านที่ปลอดบุหรี่ หยุดการสูบบุหรี่เพื่อหัวใจแข็งแรงของทุกคนในครอบครัว และสร้างกฎในบ้านขึ้น เช่น ถ้าใครสูบบุหรี่จะต้องทำงานบ้านเพิ่มขึ้น การรู้ค่าความเสี่ยงของตัวเอง โดยตรวจสุขภาพเบื้องต้นอย่างน้อยปีละครั้ง และควรทราบค่าตัวเลขที่เป็นความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ ค่าความดันโลหิต ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด รวมถึงค่ารอบเอวและค่าดัชนีมวลกายของตนเองและคนในครอบครัว และสามารถพัฒนาปรับปรุงวางแผนการดูแลสุขภาพหัวใจของตนเองและคนในครอบครัวได้ โดยเขียนติดไว้ในที่ที่มองเห็นได้ง่ายที่บ้าน เพื่อเป็นการช่วยเตือนความจำอีกด้วย
“โรคหัวใจและหลอดเลือด สามารถป้องกันได้ โดยทุกฝ่าย ทั้งบุคคล ครอบครัว ชุมชน และรัฐบาล จะต้องร่วมมือกันป้องกันและหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค ทั้งทางกายและทางใจ ควรลงมือทำทันทีเพื่ออนาคตสุขภาพหัวใจที่ดีของทุกคน หากประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทร 1422 และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทร 0-2590-3333” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว.



ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

สธ.พิมพ์คู่มือสุขภาพ 30,000 ฉบับ แจกผู้แสวงบุญชาวไทยร่วมพิธีฮัจญ์

 
 
สธ. พิมพ์คู่มือสุขภาพ ฉบับพกพา 2 ภาษา คือไทยและอังกฤษ จำนวน 30,000 ฉบับ แจกผู้แสวงบุญทุกคน เพื่อดูแลสุขภาพตนเองระหว่างร่วมพิธีฮัจญ์  พร้อมมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 30,000 ชิ้น และเจลล้างมือจำนวน 10,000 หลอด เพื่อนำไปใช้ในการป้องกันโรคติดต่อโดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ โรคอุจจาระร่วง และโรคติดต่ออื่นๆ โดยเฉพาะเฝ้าระวังโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012 เป็นพิเศษ
 
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์    สหเมธาพัฒน์    ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  และนายแพทย์พรเทพ  ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค มอบนโยบายแก่หน่วยพยาบาลไทย ชุดที่ 3 ที่จะออกเดินทางไปดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิม ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในวันที่ 6 ตุลาคม เวลา 02.55 น. พร้อมมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 30,000 ชิ้น และเจลล้างมือจำนวน 10,000 หลอด เพื่อนำไปใช้ในการป้องกันโรคติดต่อโดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ โรคอุจจาระร่วง และโรคติดต่ออื่นๆ

นายวิทยา กล่าวว่า  กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมแพทย์พยาบาลไทย จำนวน 4 ทีม รวม 42 คน เดินทางไปดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมจำนวนประมาณ 13,000 คนระหว่างร่วมประกอบพิธีฮัจญ์ ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นเวลา 11 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน - 30 พฤศจิกายน 2555 โดยตั้งหน่วยบริการ รักษาพยาบาล 2 จุด ที่นครเมกกะและมาดีนะห์ ขณะนี้หน่วยพยาบาลไทยได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว 2 ชุด รวม 25 คน มีผู้แสวงบุญเดินทางไปถึงนครมาดีนะห์แล้วประมาณ 9,500 คน และเดินทางเข้าสู่นครเมกกะประมาณ 7,500 คน ซึ่งหน่วยพยาบาลไทยมีความพร้อมในการให้บริการแก่ผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมเต็มที่ ทั้งด้านบุคลากร อาคารสถานที่ ยาและเวชภัณฑ์ที่ส่งจากประเทศไทยรวมกว่า 100 รายการ

นายวิทยากล่าวต่อว่า ในปีนี้ได้ให้หน่วยแพทย์พยาบาลไทย เฝ้าระวังโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2012 เป็นกรณีพิเศษ หลังจากองค์การอนามัยโลกได้รายงานมีผู้ติดเชื้อแล้ว 2 ราย จนถึงขณะนี้ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม อย่างไรก็ตาม การที่ประชาชนทั่วโลกมาอยู่รวมกันจำนวนมากอาจเพิ่มความเสี่ยงได้ ได้ให้หน่วยแพทย์เข้มมาตรการคัดกรองและการป้องกันโรค โดยตรวจวัดไข้ผู้ใช้บริการทุกคน หากพบผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจให้ใส่หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก ป้องกันการแพร่เชื้อ ขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยน่าสงสัยแต่อย่างใด 

ขณะเดียวกันได้ให้กรมควบคุมโรคจัดพิมพ์ข้อแนะนำฉบับพกพา 2 ภาษา คือไทยและอังกฤษ จำนวน 30,000 ฉบับ ให้แซะซึ่งเป็นหัวหน้าทีมนำผู้แสวงบุญไปประกอบพิธีฮัจญ์และหน่วยพยาบาลไทยนำไปแจกผู้แสวงบุญทุกคน เพื่อดูแลสุขภาพตนเองระหว่างร่วมพิธีฮัจญ์ และสังเกตอาการผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ ทั้งระหว่างประกอบพิธีฮัจญ์และเมื่อกลับเข้าประเทศไทย ได้แก่ ไข้ ไอ หายใจเหนื่อย ปวดศีรษะ หรืออื่นๆ ให้พบแพทย์และแจ้งประวัติการเดินทางให้แพทย์ทราบด้วย และได้เปิดสายด่วนกรมควบคุมโรค ให้คำปรึกษาข้อสงสัยที่หมายเลข 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง  

ด้านนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์  ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นจากหน่วยพยาบาลไทยว่า ขณะนี้สภาพอากาศช่วงกลางวันที่นครเมกกะและนครมาดีนะห์ร้อนมากอุณหภูมิประมาณ 40-45 องศาเซลเซียส และมีฝุ่นละอองค่อนข้างมาก ทำให้ผู้แสวงบุญมักเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ รองลงมาคือ ปวดเมื่อยจากการเดินเท้าไปประกอบศาสนกิจ อ่อนเพลียจากการเสียเหงื่อ โดยผลการให้บริการของหน่วยพยาบาลไทยตั้งแต่วันที่ 17 จนถึง 30 กันยายน 2555 มีผู้รับบริการ 743 ครั้ง ประกอบด้วยที่หน่วยบริการนครเมกกะ463 ครั้ง และในนครมาดีนะห์ 280 ครั้ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในเขต 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พบมากที่สุดคือ ไข้ ปวดศีรษะ ไอ แพ้อากาศ ปวดเมื่อย ได้รับไว้รักษาที่หน่วยพยาบาล 5 ราย และส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลของประเทศซาอุดิอาระเบีย 6 ราย ส่วนใหญ่อ่อนเพลียจากการเดินทางและโรคประจำตัว


ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข 
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

6 จังหวัดเสี่ยงสูงน้ำท่วมจาก ”พายุ แกมี่” ซักซ้อมแผนความพร้อม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการ 30 จังหวัดเสี่ยงน้ำท่วมจากพายุแกมี่ ช่วง 5-8 ตุลาคมนี้ โดยเฉพาะโรงพยาบาล 4 แห่ง ใน  6 จังหวัดเสี่ยงสูงคือ สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา จันทบุรี และตราด  ซักซ้อมความพร้อมตามแผนป้องกันสถานพยาบาลไม่ให้น้ำท่วม และการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง  

นายวิทยา  บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไป 30 จังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากพายุ แกมี่ (GAEMI) เช่น นครราชสีมา ชัยภูมิ ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ระยอง จันทบุรีติดตามความพร้อมของพื้นที่ในการรับมือผลกระทบจากพายุแกมี่ในช่วงวันที่ 5-8 ตุลาคม 2555 นี้
นายวิทยากล่าวว่า ในการรับมือครั้งนี้ ได้แบ่งกลุ่ม 30จังหวัดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มเสี่ยงสูง มี 6 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา จันทบุรี และตราด มีโรงพยาบาลที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกน้ำท่วมสูง 4 แห่ง ได้แก่ 1.รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี  2.รพ.มหาราชนครราชสีมา 3.รพ.ปักธงชัย และ4.รพ.สต.ลาดยาว จ.นครราชสีมา ที่อาจได้รับผลกระทบจากเขื่อนลำพระเพลิง  ซึ่งขณะนี้ ทุกแห่งได้เตรียมการป้องกันสถานพยาบาลไว้แล้ว
2.กลุ่มเฝ้าระวัง มีทั้งหมด 24 จังหวัด  ได้เน้นย้ำให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้ วอร์รูมน้ำท่วมที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ติดตามประเมินสถานการณ์ เพื่อสั่งการเบื้องต้นและเป็นจุดประสานงานให้การสนับสนุนจังหวัดต่างๆ โดยได้ส่งยาชุดน้ำท่วมและยาตำราหลวงแก่จังหวัดที่ถูกน้ำท่วมไปแล้ว 218, 500ชุด และเตรียมสำรองยา เวชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และวัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันโรค อาทิยาชุดน้ำท่วม ยาสามัญประจำบ้าน ยารักษาโรคน้ำกัดเท้า เซรุ่มแก้พิษงู คลอรีน ทรายกำจัดลูกน้ำ รองเท้าบู๊ท ถุงดำ ไว้อย่างเพียงพอ พร้อมให้การสนับสนุนตามที่จังหวัดร้องขอ
ด้านนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของกระทรวงสาธารณสุขที่เน้นย้ำให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัดมี 6 ข้อ ได้แก่ 1.จัดตั้งวอร์รูมจังหวัดเป็นศูนย์สั่งการ ประสานงาน ติดตามกำกับการดำเนินงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย และแก้ไขปัญหาต่างๆในพื้นที่  2.ให้ติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังผลกระทบด้านสุขภาพทั้งกายและจิต  3.เตรียมยา เวชภัณฑ์ พาหนะ และเครือข่ายสื่อสาร ทีมแพทย์กู้ชีพ ทีมสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว ชุดปฏิบัติการแพทย์สนามฉุกเฉินในภาวะภัยพิบัติ หรือทีมเมิร์ท (Medical Emergency Response Team: MERT) พร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง จัดบริการกลุ่มที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่นผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยจิตเวช หญิงตั้งครรภ์  4.ให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพ และการควบคุมป้องกันโรค 5.ให้ป้องกันน้ำท่วมสถานบริการ สำรวจจุดเสี่ยงต่างๆ และสำรองยาเวชภัณฑ์ ให้มีใช้เพียงพอ ปรับแผนบริการประชาชนทุกรูปแบบและแผนการส่งต่อผู้ป่วย โดยให้เจ้าหน้าที่เตรียมป้องกันบ้านเรือนตนเอง อพยพครอบครัวไปอยู่ในที่ปลอดภัย เพื่อลดความห่วงพะวงในการทำงานช่วยเหลือประชาชน และ6.เตรียมการฟื้นฟูหลังน้ำลด สร้างความปลอดภัย ความมั่นใจแก่ประชาชน
ทั้งนี้ ผลจากน้ำท่วมที่ผ่านมาจนถึงวันนี้  มีสถานพยาบาลในสังกัดปิดบริการ 1 แห่ง คือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี น้ำเข้าตัวอาคารสูง 60เซนติเมตร ได้ย้ายจุดไปให้บริการในจุดที่ประชาชนมารับบริการสะดวก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการทุกวัน สรุปมีผู้ป่วยทั้งหมด 41, 649ราย ส่วนใหญ่ปวดศีรษะ น้ำกัดเท้า และไข้หวัด ด้านสุขภาพจิตพบผู้มีความเครียดสูง 139 ราย ซึมเศร้า 64 ราย ทั้งหมดนี้อยู่ในความดูแลของจิตแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวมทั้งอสม.ในพื้นที่ 



ที่มา : กระทรวงสาธารณะสุข

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

กรุ๊ปเลือดและอาหารที่เหมาะสม

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การเลือกรับประทานอาหารนั้นนอกจากต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อที่จะทำให้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ แข็งแรง แต่มีปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือการเลือกรับประทานอาหารให้สัมพันธ์กันกับกรุ๊ปเลือดของแต่ละคนด้วย
กรุ๊ป A
คนที่มีเลือดกรุ๊ป เอ จะอ่อนไหวต่อการเป็นมะเร็งได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่น เพราะฉะนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จึงต้องหมั่นไปตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำ สำหรับคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้เคยสังเกตตัวเองหลังดื่มนมบ้างหรือเปล่า เพราะคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้เวลาทานนมเข้าไปแล้วจะมีอาการท้องอืดแน่นเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ปเอจะทำปฏิกิริยากับนม เพราะฉะนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวก ข้าวสาลี เนื้อติดมัน นม เป็นพิเศษ ส่วนอาหารที่ควรรับประทานนั้นได้แก่อาหารจำพวกผักใบเขียว ใบเหลือง รวมทั้งธัญพืชและถั่วต่างๆ ยิ่งถ้าทานเข้าไปในปริมาณมากๆ ก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพ
กรุ๊ป B
พวกที่อยู่ในเลือดกรุ๊ปนี้ถือเป็นเลือดที่กำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ของ มนุษย์ ว่ากันว่าเลือดกรุ๊ปนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคนเรารู้จักเลี้ยงสัตว์ที่ให้นม คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จึงสามารถรับประทานนมได้โดยไม่มีอาการเรอเหม็นเปรี้ยวเหมือนกับเลือดกรุ๊ป A นอกจากนมแล้ว อาหารประเภทเนื้อสัตว์ได้แก่ เนื้อกวาง เนื้อกระต่าย ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาก แต่ควรหลีกเลี่ยงเนื้อไก่
กรุ๊ป O
เลือดกรุ๊ปนี้ถือว่าเป็นเลือดกรุ๊ปแรกที่เกิดขึ้น ดังนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จะเป็นคนที่มีสุขภาพที่ดีมาก การเลือกรับประทานอาหารควรเลือกที่จะรับประทานเนื้อสัตว์ ได้แก่ เป็ด ไก่ ปลา (ยกเว้นหมู) และควรรับประทานผักผลไม้มากๆ เนื่องจากคนสมัยโบราณมักจะหากินเนื้อสัตว์ ไม่ได้กินนม เพราะฉะนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จึงควรหลีกเลี่ยงนม เพราะถ้าดื่มนมมีแนวโน้มว่าจะทำให้แผลเน่าเปื่อย หรือเกิดอาการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่น
กรุ๊ป AB
เป็นเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในมนุษย์เรา คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีเพียงแค่ 2% เท่านั้นเอง คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้จะมีลักษณะคล้ายๆ คนเลือดกรุ๊ป B คือระบบการย่อยอาหารนั้นมักจะมีกรดเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ ดังนั้นการเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ควรเลือกรับประทานในปริมาณที่น้อย และอย่าบ่อยจนเกินไป อาจสังเกตได้ถ้ามีอาการเรอบ่อยครั้ง
การรับประทานอาหารที่ไม่ตรงตามกรุ๊ปเลือด หลายท่านมีปัญหา เพราะฉะนั้นเลือดกรุ๊ปไหนก็ควรเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้อง และอย่าลืมรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ สดและถูกสุขอนามัย


ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

กินลูกเชอร์รี่ป้องกันโรคเกาต์เพลาลงทันตา

วารสารวิชาการ “โรคข้ออักเสบและข้อบวม” แจ้งว่า กินผลเชอร์รี่ ช่วยสกัดโรคเกาต์ที่ทำให้ปวดบวมตามข้อ จากการมีกรดยูริกมากได้ เมื่อกินติดกัน 2 วัน ถ้าเทียบกับคนที่ไม่ได้กิน ป้องกันได้ถึงร้อยละ 35
โรคเกาต์เป็นโรคสามัญโรคหนึ่งทำให้ปวดบวมตามข้อมาก ใน 100 คน จะต้องมีผู้ป่วยสักรายหนึ่ง เป็นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 2-3 เท่า
นักวิจัยมหาวิทยาลัยบอสตันของสหรัฐฯ ได้ศึกษากับคนไข้ 633 คน อายุเฉลี่ย 54 ปี และได้ติดตามทางออนไลน์อยู่ 1 ปี ทดลองให้คนไข้บางส่วนกินลูกเชอร์รี่ 10-12 ลูก หรือน้ำสกัดเชอร์รี่ดู
ผลการศึกษาสรุปได้ว่า คนไข้ที่กินลูกเชอร์รี่ โอกาสที่จะเกิด จะลดน้อยลงไปร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้กิน แต่จะเห็นผลก็ต่อเมื่อได้กินวันละ 3 หน เป็นเวลาติดกัน 2 วัน ยิ่งกิน เชอร์รี่รวมทั้งกินยากันไว้ด้วย จะป้องกันไม่ให้เป็นขึ้นมาได้มากถึงร้อยละ 75
ผู้อำนวยการงานวิจัยโรคข้ออักเสบของอังกฤษกล่าวชื่นชมว่า “เคยคิดว่าต้องมีผลไม้บางอย่างที่กันโรคเกาต์และโรคข้อบวมได้ ผลการศึกษาแสดงว่าลูกเชอร์รี่ต้องมีสารประกอบที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่”


ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เตือนหัดเยอรมันอันตราย แนะเด็กฉีดวัคซีนเมื่ออายุ 1 ขวบ


สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 นครราชสีมา เตือน โรคหัดเยอรมันอันตราย หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ ทารกอาจพิการได้ แนะเด็กฉีดวัคซีนเมื่ออายุ 1ขวบ หญิงก่อนตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เดือน
นายแพทย์ธีรวัฒน์ วลัยเสถียร ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 นครราชสีมา กล่าวถึงโรคหัดเยอรมันว่า โรคหัดเยอรมัน เกิดจากเชื้อไวรัสรูเบลล่า มักพบการระบาดในโรงเรียน โรงงาน และสถานที่ทำงาน ติดต่อกันได้โดยการไอ จาม หรือสัมผัสน้ำมูกน้ำลายที่มีเชื้อหัดเยอรมันอยู่ เด็กที่ติดเชื้อ อาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังหู ท้ายทอยและด้านหลังของลำคอ มีไข้ ปวดศีรษะ คล้ายเป็นหวัด มีผื่นขึ้นสีชมพูจางๆ เริ่มขึ้นที่ใบหน้าแล้วลามไปทั่วตัว ผื่นเห็นชัดเจนบริเวณแขนขาจะหายไปในเวลา 1-2 วัน และหายได้เอง แต่ถ้าสตรีมีครรภ์ติดเชื้อโรคหัดเยอรมันในช่วงอายุครรภ์ 3-4 เดือนแรก จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อทารกในครรภ์ ทำให้เด็กที่เกิดมาพิการ เช่น สมองฝ่อ หูหนวก ต้อกระจกตา โรคหัวใจ คนที่เคยเป็นโรคหัดเยอรมันแล้วจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ไปตลอดชีวิต
ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 นครราชสีมา กล่าวต่อไปว่า โรคหัดเยอรมันสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งอยู่ในวัคซีนรวม 3 โรคคือ วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ สามารถป้องกันโรคคางทูม โรคหัด และโรคหัดเยอรมัน ได้ภายในเข็มเดียวกัน สำหรับเด็กเล็ก วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์นี้ สามารถฉีดเข็มแรกให้แก่เด็กตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป และฉีดเข็มที่สองเมื่อเด็กอายุ 4-6 ปี หญิงวัยเจริญพันธุ์ แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ล่วงหน้าก่อนที่จะตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน แต่ในหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ห้ามฉีดวัคซีนชนิดนี้เด็ดขาด


ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks