น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

'ไมโคพลาสมา'...โรคระบาดป้องกันได้

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

http://www.youtube.com/watch?v=AaHnAioC3ck&feature=share

กลายเป็นกระแสข่าวครึกโครม เมื่อพลทหารหลายสิบนายล้มป่วยลงด้วยโรคติดเชื้อประหลาด มีไข้สูง หายใจหอบเหนื่อยและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาจนถึงขั้นต้องปิดโรงพยาบาลเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย ของเชื้อโรค "ไมโคพลาสมา (Mycoplasma)" ที่เป็นตัวการทำให้เกิดอาการดังกล่าว
ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ถือโอกาสนี้เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคไมโครพลาสมา เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคดังกล่าว เพื่อเป็นแนวทางป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคระบาดนี้เมื่อเร็วๆนี้ ว่า โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียขนาดเล็ก ชื่อ"Mycoplasma pneumonia" ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้สูง ไอ หายใจหอบเหนื่อยจากการอักเสบของหลอดลมและปอด กลุ่มอายุที่ติดเชื้อได้บ่อยคือกลุ่มวัยเด็ก และเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคปอดอักเสบที่ติดในชุมชน ซึ่งถ้าปอดอักเสบจากเชื้อชนิดนี้ ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
สำหรับการระบาดนั้น เชื้อ Mycoplasma pneumonia พบได้ทุกช่วงอายุ โดยพบบ่อยในช่วงอายุน้อยกว่า 40ปี และพบบ่อยมากในเด็กเล็ก และวัยรุ่นอายุน้อยกว่า 20ปีมีโอกาสติดเชื้อได้ใกล้เคียงกันทั้งเพศชายและหญิง พบการติดเชื้อได้ตลอดปีโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน เชื้อนี้ติดต่อทางการหายใจหรือไอ จาม หรือจากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจที่มีเชื้อ เช่น น้ำมูกหรือเสมหะ การระบาดส่วนใหญ่จะพบในชุมชนปิด เช่น ค่ายทหาร โรงเรียน เรือนจำ เมื่อเชื้อไมโคพลาสมาเข้าสู่ร่างกายจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2-3สัปดาห์ (แตกต่างจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือปอดอักเสบจากไวรัสที่ใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์) อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ที่ได้รับเชื้อนี้ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ มีเพียงร้อยละ 5-10เท่านั้นที่จะเกิดอาการปอดอักเสบ
ส่วนอาการทั่วไปที่พบในผู้ป่วยนั้น 1.ไข้สูงมากกว่า 38องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่น 2.ไอแห้งๆ อาจมีเสมหะขาว อาการค่อยๆ เป็นมากขึ้น อาจไอเรื้อรังจนทำให้เจ็บกล้ามเนื้อหน้าอก 3.ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย 4.เจ็บคอ คันคอ อาการเจ็บคอจะไม่มาก คอแดงเล็กน้อยไม่มีหนอง 5.เจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าหรือออก (พบได้น้อย) 6.อาจพบผื่นแดงตามร่างกายลักษณะคล้ายไข้ออกผื่น(ส่าไข้) 7.ถ้าอาการรุนแรงขึ้นจะ ทำให้หายใจเหนื่อยหายใจเร็ว แต่ยังคงดำเนินชีวิตประจำวันได้ปกติ
การรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไมโคพลาสมา สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะกลุ่ม macrolides หรือ doxycycline ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลถ้ามีอาการหายใจหอบเหนื่อยมากหรือ มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อย่างไรก็ตามผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่มาก หากไม่ได้รับการรักษาอาการไข้จะเป็นอยู่ประมาณ 1สัปดาห์ อาการไอประมาณ 2-4สัปดาห์ บางรายอาการอาจเป็นนานถึง 6สัปดาห์ หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการจะหายเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ยกเว้นรายที่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ส่วนอาการบ่งชี้ที่ควรไปพบแพทย์นั้นได้แก่ 1.ไข้สูง 2.อาการไอแห้งๆ บ่อยครั้งและเป็นระยะเวลานาน หรือไอเป็นเลือด 3.อาการหายใจหอบเหนื่อยหายใจเร็ว 4.อาการเจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าหรือออก 5.อาการแน่นหน้าอกด้านซ้าย หรือรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการแขนหรือขาอ่อนแรง หรือชักเกร็ง ซึมลง อาการซีด ปาก-ลิ้นสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม (สีน้ำปลาหรือสีโค้ก) หรือมีจุดเลือดออกตามร่างกาย ซึ่งอาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อไมโคพลาสมา 6.ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน อาจเกิดการติดเชื้อรุนแรงได้ง่าย หากคุณมีอาการดังที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาแต่เนิ่นๆเท่านี้ก็จะเป็นการยับยั้งภัย ระบาดของโรค "ไมโคพลาสมา"ได้แล้ว.


ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

หูไม่ค่อยได้ยิน เสียงแนะวิธีแก้ไข

หูเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งของ ร่างกายที่จะรับคลื่นเสียง เป็นสื่อสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เราได้มีความเข้าใจต่อกัน ว่าต้องการอะไร มีอะไรที่อยากพูดอยากบอกจะได้สื่อสารกันรู้เรื่อง ทำให้โลกนี้น่าอยู่ และมีความรู้สึกดี ๆ ขึ้นอีกมาก ผู้ที่มีความบกพร่องในการได้ยิน จะเป็นปัญหาของสุขภาพมองโลกนี้ไปอีกแบบหนึ่ง หูจึงเป็นอวัยวะสำคัญที่จะต้องดูแลถนอมมิให้เกิดภยันตรายให้ได้

หูไม่ค่อยได้ยิน เสียงแนะวิธีแก้ไข

เวลาเราได้ยินเสียง เสียงเมื่อผ่านเข้าช่องหู ไปกระทบแก้วหูเป็นผนังบาง ๆ ขวางรับอยู่จะสั่นส่งคลื่นไปยังหูด้านใน ซึ่งจะมีเซลล์เป็นขน ๆ รองรับอยู่มากจะเปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งต่อผ่านกระดูกสำคัญ ชิ้นเล็ก ๆ ไปยังสมอง สมองจะแปลงสัญญาณที่ได้รับออกมาเป็นเสียงพูดสื่อให้คู่สนทนาได้รับรู้ได้ เป็นมหัศจรรย์ของชีวิตอย่างหนึ่งที่คนมักมองข้ามไป

หู ก็เหมือนอวัยวะอื่นทั่วไป อายุเพิ่มมากขึ้นย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา อวัยวะอื่นมักพูดว่าหย่อนยาน แต่หูกลับพูดว่าตึงขึ้น แต่ ความหมายเหมือนกันคือจะเสื่อมไม่ค่อยได้ยิน มีผู้วิจัยว่า ผู้ที่อายุเกิน 60 ปี 100 คน มักพบหูเสื่อมฟังไม่ค่อยได้ยินราว 25 คน จะทำให้เป็นปัญหาต่อชีวิตประจำวัน จึงจำเป็นต้องคอยดูแล เมื่อเป็นแล้วก็ต้องรีบแก้ไขแต่เนิ่น ๆ ด้วย

การสูญเสียการได้ยิน โดยทั่วไปโรคพื้น ๆ มักจะมีอาการมาขวางทางเดินในช่องหู ที่สำคัญคือ ขี้หู เป็นปฏิกิริยาของเซลล์ในช่องหูที่ทำให้เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ เวลาเราเปลี่ยนอิริยาบถตะแคงศีรษะไปมาจะหลุดออกมาเอง บางท่านก็ชอบเอาสำลีพันปลายไม้แยงหูเพื่อกวาดออกหรือไปให้ช่างตัดผมแคะออก ยังเห็นเป็นประจำอยู่มาก ผลเสียคือ แคะขูดมากไปจะเกิดแผลและติดเชื้อทำให้ช่องหูอักเสบจากเชื้อโรคและเชื้อราได้ อีกอย่างหนึ่งคือ ประสาทหูเสื่อม ต้องแก้ไขกันต่อไป

ผมมาคุยเรื่องหูในวันนี้ เนื่องจากได้มีโอกาสได้พูดคุยกับ พญ.ชนิดา กาญจนลาภ อดีตแพทย์ทางหู รพ.รามาธิบดี และคณะ พญ.สุมนา ช่อไสว, กิตติพร ตัณฑะพงศ์, สมทรัพย์ อธิคมรักสฤษฎ์, บุญทิวา ตนาภิชาติ และ วนิดา วาณิชอังกูร ได้ไปออกหน่วยแพทย์ของมูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล ที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เมื่อต้นเดือนนี้

หน่วยตรวจหูคณะนี้ ได้ตรวจคนไข้ 121 ราย ตรวจการได้ยิน 6 ราย พบมีขี้หูเหนียวอุดแน่นทำให้บกพร่องการได้ยิน 28 ราย แก้วหูทะลุส่งต่อโรงพยาบาลพื้นที่ 9 ราย และเป็นโรคทางจมูกลุกลามให้หูอักเสบอีก 14 ราย

วิธีการเอาขี้หูเหนียวออก นอนตะแคงหยอดยาลงในรูหู สักพักหนึ่งจะใช้น้ำอุ่น 37 องศาพอดีกับอุณหภูมิของร่างกายฉีดล้างเข้าในหู น้ำที่ฉีดถ้าเย็นไป ร้อนไป คนไข้จะเวียนหัวทันที จะต้องคุมให้อยู่อุณหภูมิเท่ากับร่างกายให้ได้ สักครู่ขี้หูจะค่อยคลายตัวเป็นก้อนเล็ก ๆ ออกมา คนไข้จะรู้สึกหายหูตึงอย่างมหัศจรรย์ทันที ฟังเสียงคนพูดได้ชัดเจน ดีใจมาก ชีวิตกลับคืนเป็นปกติ

ผู้สูงอายุ สูบบุหรี่ประจำ ความดันสูง ไขมันสูง โรคเบาหวาน ดื่มกาแฟประจำ ล้วนทำให้เส้นเลือดไปเลี้ยงประสาทหูตีบแข็ง เลือดเลี้ยงไม่พอ ทำให้ประสาทเสื่อม เป็นผลทำให้หูไม่ค่อยได้ยินไปด้วย จึงต้องแก้สาเหตุจากสิ่งเหล่านี้ด้วย

เสียงดัง ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พบบ่อย มีคนไข้หลายรายเกิดเสียงดังใกล้หูจากประทัดหรือของระเบิด หูดับไม่ได้ยินทันที ต้องค่อยรักษากันไปจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับดีขึ้นมาเอง

การอักเสบใกล้บริเวณหู บริเวณปากช่องหู คออักเสบ หวัดลงคอ จมูกอักเสบ อวัยวะเหล่านี้มีท่อต่อเชื่อมกันมายังช่องหู เมื่อมีการอักเสบขึ้นมาจะลุกลามมายังหูทำให้อักเสบไปด้วยได้ การอักเสบติดเชื้อไปจนถึงมีหนอง ล้วนทำให้ประสาทหูพลอยกระทบไปด้วย พอการอักเสบหาย เรื่องหูไม่ค่อยได้ยินก็จะค่อยกลับคืนสภาพดีดังเดิม

โรคที่กล่าวมานี้เป็นโรคพื้นฐาน พบได้บ่อยในชุมชน เมื่อแก้สาเหตุอาการก็จะหายไป ส่วนโรคที่เกี่ยวกับประสาทหูก็มีความสำคัญเช่นกัน เมื่อมีโอกาสคงจะได้นำมาคุยกันต่อไป

โรคบกพร่องการได้ยิน สาเหตุพื้นฐานในชนบทมักจะเป็นเรื่องขี้หูเหนียวอุดตันค้างอยู่ เมื่อเอาออกเสียก็หาย ส่วนใหญ่จะไม่รู้ไม่มีใครตรวจดูในช่องหูให้ การป้องกันง่ายสุดไม่ควรเอาอะไรไปแคะคุ้ยในรูหูจะทำให้เกิดการอักเสบและ ลุกลามเข้าในหูส่วนในได้.

  





ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์โดยนายแพทย์สุวิทย์ เกียรติเสวี suvit.kiatisevi@gmail.com

กินพืช กินผัก

วิชาสุขศึกษาได้สอนเราไว้ว่า ให้กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่มีข้อสงสัยมากมายว่ากินอาหารครบทุกหมู่แล้วสุขภาพดีจริงหรือความคิด ฝังหัวที่ถูกสอนมาว่าผักเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หรือพูดง่ายๆ ว่า เมนูผัก เป็นเมนูสุขภาพ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า

กินพืช กินผัก

ผักส่วนใหญ่ที่เรากินก็คือใบของพืช หรือบางครั้งก็มีต้น กิ่ง หัว รวมๆ กันเรียกว่าผัก ผักเป็นแหล่งของธาตุอาหารพวกวิตามิน แร่ธาตุบางอย่าง แต่น่าเสียดายที่ส่วนมากถูกทำลายด้วยความร้อนขณะหุงต้ม ทำให้เราได้แต่กากเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งกากนั้นเป็นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ หรือ เซลลูโลสนั่นเอง

เซลลูโลสในผัก เป็นกากใยที่เราไม่สามารถย่อยได้ เราจำเป็นต้องเคี้ยวด้วยฟันกรามซึ่งมีลักษณะเป็นฟันบด เพื่อย่อยให้ผักมีขนาดเล็กพอที่เราจะกลืนลงไปได้ พวกวัว ควาย ช้าง มีฟันบดนี้มากกว่าเรา ทำให้กินหญ้าได้ แต่คนก็ยังด้อยความสามารถที่จะกินหญ้า เหมือนวัวควาย เซลลูโลสที่อยู่ในพืช จะถูกกลืนลงไปและเคลื่อนผ่านไปโดยลำไส้เราไม่สามารถย่อยได้ จึงไม่แปลกที่จะเห็นใบผักบุ้งปนออกมากับอุจจาระหลังจากที่กินผักบุ้งไฟแดง เข้าไป

หากผักมีโปรตีน หรือ คาร์โบไฮเดรต ก็จะถูกย่อยดูดซึมไป เหลือแต่กากเซลลูโลสออกมา แต่เซลลูโลสก็ไม่ได้เป็นไฟเบอร์ที่อุ้มน้ำ จึงไม่ได้ส่งผลต่อมวลของอุจจาระ ดังนั้น หากหวังว่ากินผักแล้วจะถ่ายคล่อง ก็ต้องกินผักปริมาณมากๆ เพื่อให้เหลือกากมากพอที่จะขับถ่ายออกมา อย่าหวังว่าผักบุ้งไฟแดงจานหนึ่งจะสร้างความมหัศจรรย์ กำจัดปัญหาการขับถ่ายให้เราได้

ในอดีต เรากินผักกันตามอำเภอใจ แปลว่า ฤดูไหน มีผักอะไรงอกออกมา ก็เด็ดกินกันตามใจ ไม่ว่ากระถิน ผักหวาน สะเดา ฯลฯ ซึ่งมีความหลากหลายมากมายไม่เฉพาะชนิดเท่านั้น แต่ตามฤดูกาลด้วย แต่ด้วยความสามารถในการเคี้ยวที่ไม่ดีนัก เรากินทั้งต้นไม่ได้ ก็เลยกินเฉพาะยอดอ่อนๆ ที่เคี้ยวได้กรุบกรอบเท่านั้น

เมื่อเราเข้าสู่ทุนนิยม ก็เลยมีคนคิดแทนเราว่า ควรกินผักอะไร แล้วเอามาวางให้ในซูเปอร์มาร์เก็ต และสร้างค่านิยมที่ดูเหมือนว่าจะมีผักหลากหลาย แต่ที่จริงแล้ว มีไม่กี่ชนิด ขายวนไปตลอดทั้งปี และเนื่องจากการเคี้ยวของเราไม่ดี ผักทั้งหลายที่วางอยู่ก็เลยมักเป็นผักอวบน้ำ ที่ทำให้คนชื่นชอบ แต่ทราบหรือไม่ว่ากว่าจะได้มาต้องเสียอะไรไปบ้าง

การปลูกผักอวบน้ำต้องใช้น้ำแน่นอน ในการที่ทำให้ผักเติบโต อีกทั้งไม่เพียงแต่คนที่ชอบของอวบๆ แมลงก็ชอบ อีกทั้งซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลายที่คัดสรรสิ่งดีๆราคาถูกทุกวันให้คุณ ก็ไม่ยอมรับผักแหว่งๆ ที่ถูกแมลงกิน เกษตรกร ก็เลยจำเป็นที่จะต้องใช้ยาฆ่าแมลงให้แมลงที่นิยมของอวบ เช่นเรา ตายไป

ผักอวบน้ำหลายอย่างเป็นผักที่เป็นกาบ เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ก็เลยมีความจำเป็นต้องฉีดเป็นระยะ หรือทุกกาบ เพื่อไม่ให้มีแมลงมารบกวน อีกอย่างก็คือความนิยมกินผักเมืองหนาว อันนี้ก็แปลก อยู่เมืองไทย แต่อยากกินผักเมืองหนาว กินแล้วจะหนาวไหม แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ปลูกยาก โรคของผักเยอะ ราคาแพง ความนิยมแบบไม่ค่อยคิด ทำให้ผักแปลกๆ ต่างชาติพวกนี้เบียดผักไทยริมรั้วจนหายไปหมดสิ้น

เราจึงไม่เคยกินผักเพราะความหลากหลาย หรือ กินผักตามฤดูกาล แต่กินผักตามที่เขามาจัดวางและขายให้เรา หากกินไปนานๆ แมลงวันอาจจะไม่มาตอมตัวเราก็เป็นได้ เพราะเราสะสมยาฆ่าแมลงไว้มากมาย

มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กินพืช เป็นอาหารหลัก และเราต้องการความหลากหลายของพืช มากกว่าพืชที่นำเสนอในซูเปอร์เท่านั้น หากเราปลูกพืชริมรั้วไว้บ้าง ก็จะลดค่าใช้จ่าย ลดสารพิษ และชีวิตเป็นสุข ที่ได้กินสิ่งที่เราปลูกเอง







ที่มา:หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ by ipensook

เคล็ดลับง่าย ๆ ดูบอลยูโรอย่างไรไม่โทรม

เทศกาลบอลยูโรกำลังใกล้ปิดฉากใน อีกไม่กี่วัน คอบอลหลายคนอาจมีผลข้างเคียงจากการดูบอลมาจากสาเหตุการอดนอน ยังพอมีเวลาสำหรับการปฏิบัติตัวเพื่อให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และเป็นข้อแนะนำสำหรับการดูบอลหรือการทำกิจกรรมที่ต้องทำให้พักผ่อนไม่เพียง พอ

เทศกาลบอลยูโร

อ.สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มี คำแนะนำการดูแลสุขภาพในช่วงการรับชมฟุตบอลยูโร 2012 ที่จะมีการแข่งขันระหว่างวันที่ 8 มิ.ย.-1 ก.ค. 55 ว่า ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลจะมีการถ่ายทอดในช่วงเวลาดึก พฤติกรรมการดูฟุตบอลจะมีผลต่อสุขภาพในหลายด้าน อาทิ ทำให้นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการซึมเศร้าในช่วงเช้าวันใหม่ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงเพราะอดนอน ร่างกายเผาผลาญอาหารได้ลดลง มีการสะสมไขมันในปริมาณที่มากเกินไป เกิดความเครียดเมื่อรู้สึกตื่นเต้นลุ้นเชียร์ทีมที่ตนเองชื่นชอบ ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว ที่สำคัญคือการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา กินจุบกินจิบ ทำให้ได้รับอาหารที่ให้พลังงานสูงจนเกิดความอ้วนได้ ตลอดจนภูมิคุ้มกันร่างกายลดลงตามไปด้วย

"อาหารและเครื่องดื่มที่ควรต้องหลีกเลี่ยงคือ กินขนมกรุบกรอบ ทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมและไขมันสูง ส่งผลให้เกิดเป็นโรคความดันโลหิตสูง ไตทำงานหนัก หากเป็นขนมหวานร่างกายก็จะยิ่งได้รับพลังงานสูงและเปลี่ยนเป็นไขมันได้ภายใน ครึ่งชั่วโมง ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เบียร์ 1 แก้ว ให้พลังงานเท่ากับข้าว 2 ทัพพี หรือประมาณ 150-180 กิโลแคลอรี น้ำอัดลมยิ่งให้น้ำตาลสูง น้ำอัดลม 1 ขวดจะมีปริมาณน้ำตาลเท่ากับ 10-12 ช้อนชา ในขณะที่ร่างกายควรได้รับน้ำตาลไม่เกิน 6-8 ช้อนชาต่อวัน" นายสง่ากล่าว

นายสง่า กล่าวว่า หากจำเป็นต้องนอนดึกและตื่นเช้า ต้องทำให้ร่างกายสดชื่นเร็วที่สุด คือ 1. กินอาหารเช้าที่มีคุณภาพคือ อาหารครบ 5 หมู่ มีผัก ไขมัน แป้ง โปรตีน และรับประทานอย่างเพียงพอ 2. กินน้ำหรือผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว ช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว กระตุ้นปลายประสาทและทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น ไม่ควรกินกาแฟ เพราะช่วยทำให้สดชื่นแค่ชั่วคราวเท่านั้น 3. หลีกเลี่ยงอาหารระหว่างมื้อที่มีรสหวาน 4. ระหว่างวันพยายามขยับร่างกายลุกขึ้นยืดเหยียด เพื่อให้เลือดหมุนเวียนไปเลี้ยงปลายประสาทได้ดีขึ้น

หากเป็นไปได้ควรงีบหลังมื้อกลางวันเพียง 10-15 นาทีจะทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น 5. หากต้องนอนดึกควรกินอาหารมื้อเย็นมากกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เกิดความหิวในช่วงกลางคืน และเปลี่ยนจากขนมกรุบกรอบเป็นผลไม้ที่มีรสหวานน้อยแทน เช่น ส้มโอ 3-5 กลีบ ฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร แอปเปิ้ล อย่างละไม่เกิน 2 ลูก หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น ทุเรียน ขนุน ลิ้นจี่ เป็นต้น และดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ จะช่วยลดความเครียดได้

"การดูการแข่งขันฟุตบอลยูโรไม่ให้เสียสุขภาพควรต้องจัดระเบียบชีวิตของ ตัวเองใหม่ โดยเลือกรับชมคู่ที่ชื่นชอบ ไม่ใช่รับชมทุกคู่ เพราะหากดูทุกคู่ร่างกายก็จะทรุดโทรมได้ง่าย วันไหนที่ต้องดูบอลเวลาดึก ก็ให้เข้านอนเร็วขึ้น เช่น ฟุตบอลมีตอนตี 1 ก็ต้องรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อตื่นมาดูช่วงดึกได้ ที่สำคัญต้องดูแบบกีฬาไม่มีการพนัน เพราะยิ่งดูเพื่อการพนันยิ่งทำให้ร่างกายเกิดความเครียดสูง ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงตามได้ ช่วงเวลาพักการแข่งขันก็ควรขยับร่างกายบ้าง โดยอย่านั่งดูติดกันนานเกิน 2 ชั่วโมง อาจจะยืดเหยียดกล้ามเนื้อ สลัดข้อมือข้อเท้าบ้างโดยอาจใช้พื้นที่ที่รับชมการแข่งขันเป็นที่ผ่อนคลาย" นายสง่า กล่าว


ที่มา :หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมลดน้ำหนัก อาหารเสริมบำรุงผิว วิตามินบำรุงสายตา น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ,เสริมความงาม,เสริมสุขภาพ

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks