น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

“แพ้ยา” หรือ “ผลข้างเคียง” จากยา | PG&P

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เชื่อว่าหลาย ๆ ครอบครัวมักมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการแพ้ยา เมื่อใดก็ตามที่มีอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการใช้ยา เช่น หลังทานยาแล้วง่วงนอน ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน แสบท้อง หรือมีผื่นขึ้น ก็จะเข้าใจกันว่าเป็นอาการแพ้ยาทั้งสิ้น ซึ่งความจริงแล้วอาการต่างๆ เหล่านี้เรียกรวมๆ ได้ว่าเป็นอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา โดยอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยานั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ อาการข้างเคียงจากยา และการแพ้ยา ซึ่งการปฏิบัติตัวและการจัดการกับอาการข้างเคียงจากยาและการแพ้ยานั้นจะมี ความแตกต่างกัน
อาการข้างเคียงจากยา (Side effect)
หมายถึง ผลใดๆ ที่ไม่ได้จงใจให้เกิดขึ้นจากยา ซึ่งเกิดขึ้นในการใช้ตามขนาดปกติในมนุษย์ และสัมพันธ์กับคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของยา หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ว่าเกิดจากฤทธิ์ของยาเอง เช่น ทานยาแก้ปวด Ibuprofen แล้วมีอาการแสบท้องเนื่องจากยาระคายกระเพาะ เรียกว่าเป็นผลข้างเคียงจากยา อาจแก้ไขโดยทานยาหลังอาหารทันที ห้ามทานตอนท้องว่าง ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เคยเป็นโรคกระเพาะอาจต้องทานยาลดการหลั่งกรดร่วมด้วย ยารักษาความดันโลหิตสูง ซึ่งมีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตของผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงให้เป็นปกติ แต่บางครั้งอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำ จนมีผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงจากความดันโลหิตต่ำจากยาได้ เช่น ลุกขึ้นแล้วหน้ามืด ใจสั่น หรือยารักษาโรคเบาหวาน ถ้าใช้เกินขนาด หรือผู้ป่วยทานอาหารน้อยลง อาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ป่วยจะมีอาการใจเต้น ใจสั่น เหงื่อออก แต่ถ้ามีอาการมากอาจจะหมดสติ
สำหรับยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอน เช่น ยาในกลุ่มยาแก้แพ้ เช่น Chlorpheniramine, Hydroxyzine หลังทานยาควรหลีกเลี่ยงการขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน เช่น Doxycycline อาจแก้ไขโดยทานยาพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ยาออกฤทธิ์ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าอาการข้างเคียงจากยาเป็นอาการที่เกิดจากฤทธิ์ของยาเอง และสามารถจัดการแก้ไขได้โดยการปรับเปลี่ยนวิธีทานยา และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องห้ามใช้ยาเสมอไป
การแพ้ยา (Drug allergy)
เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านยาที่ได้รับเข้าไป ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าผู้ใดจะแพ้ยาตัวไหน ลักษณะอาการแพ้ยา เช่น หลังทานยาแล้วมีผื่นคัน เปลือกตาบวม ริมฝีปากบวม มีแผลบริเวณเยื่ออ่อน ผิวหนังไหม้ เป็นต้น โดยหากพบว่าทานยาแล้วมีอาการแพ้ยาควรหยุดยาที่ต้องสงสัยทั้งหมด และพบแพทย์เพื่อรักษาอาการแพ้ที่เกิดขึ้นอย่างถูกวิธี และห้ามทานยาที่แพ้ซ้ำอีก เพราะจะทำให้เกิดการแพ้ซ้ำ และอาการแพ้อาจรุนแรงขึ้นจนบางครั้งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ควรมีการจดบันทึกชื่อยาไว้ แจ้งแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งว่าท่านแพ้ยาชื่ออะไร
ดังนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบลักษณะอาการข้างเคียงจากยา และการแพ้ยานั้น อาการข้างเคียงจากยาเกิดจากฤทธิ์ของยาจะพบได้มากกว่าคือร้อยละ 95 อาการจะรุนแรงน้อยกว่า และอัตราการตายน้อยกว่า ส่วนการแพ้ยาแม้จะพบได้น้อยคือประมาณร้อยละ 5 แต่อาการมักจะรุนแรงกว่า และมีอัตราการตายสูงกว่า เนื่องจากแพทย์ไม่สามารถทำนายได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดกับใครและอย่างไร การจดจำและสังเกตยาที่ท่านแพ้เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ตัวท่าน และคนในครอบครัวปลอดภัยจากการใช้ยา


ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ ข้อมูลโดย โรงพยาบาลเวชธานี

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เมื่อลูกมีปัญหาการเรียน | PG&P

คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักอยากให้ ลูกเรียนดี หวังจะเห็นลูกน้อยประสบความสำเร็จทั้งด้านการเรียนและการงานในอนาคต หรืออย่างน้อยก็สามารถเอาตัวรอดได้ในสังคม จึงพบว่าหลายๆครอบครัวส่งลูกไปเรียนพิเศษตามสถาบันกวดวิชาต่างๆที่มีอยู่ มากมายในปัจจุบัน ซึ่งเด็กหลายคนก็มีผลการเรียนดีขึ้นอย่างที่ผู้ปกครองคาดหวังไว้  แต่มีบ่อยครั้งที่พบว่าปัญหาด้านการเรียนของลูกไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการ เรียนพิเศษเพียงอย่างเดียว เพราะปัญหาอาจมาจากสาเหตุอื่นๆได้เช่นกัน ผู้ปกครองจึงควรสังเกตและเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของเด็กให้ได้
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียน
1.ปัจจัยภายใน
ระดับความสามารถทางสติปัญญา หรือที่เรียกติดปากว่า IQ ใช้แบ่งความสามารถของเด็กเป็นระดับต่างๆ ตั้งแต่อัจฉริยะ ฉลาด ปรกติ ต่ำกว่าเกณฑ์ คาบเส้น ไปจนถึงปัญญาอ่อน ซึ่งระดับสติปัญญาจะบ่งบอกถึงความสามารถในการเรียนรู้ว่าดีเพียงใด และบอกความสามารถด้านต่างๆที่อาจมีมากน้อยแตกต่างกันไป ทำให้เห็นจุดแข็งหรือความสามารถที่เด็กถนัด และจุดอ่อนหรือความสามารถที่ยังต้องพัฒนาอีก
ด้านจิตใจและโรคทางจิตเวชเด็ก ได้แก่ โรคสมาธิสั้น (ADHD) ความบกพร่องด้านการเรียน (LD) โรคซึมเศร้า ปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ก้าวร้าว เกเร ดื้อ ต่อต้าน ปัญหาการปรับตัว ความกระทบกระเทือนทางจิตใจ เด็กติดเกม -สุขภาพร่างกาย ปัญหาความเจ็บป่วยทางกาย มีโรคประจำตัว ปัญหาทางสายตา การได้ยิน ความผิดปรกติทางการเคลื่อนไหว
2.ปัจจัยภายนอก
การเลี้ยงดู การขาดอบอุ่น ไม่เคยถูกฝึกระเบียบวินัย การตามใจมากเกินไป ปัญหาด้านความรุนแรงในครอบครัว กระบวนการเรียนการสอน วิธีการสอนของครู ห้องเรียนมีเด็กจำนวนมากเกินไปจนครูดูแลได้ไม่ทั่วถึง รูปแบบการเรียนการสอนไม่น่าสนใจ การขาดสื่ออุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสม
เพื่อนและสัมพันธภาพ การเข้ากับครูหรือเพื่อนคนอื่นในห้องไม่ได้ การไม่มีเพื่อน การทะเลาะกัน การคบเพื่อนที่เกเร การถูกชักจูงไปในทางที่ผิด  -สิ่งแวดล้อม สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม สิ่งรบกวนในห้องเรียน หรือการที่โรงเรียนอยู่ไกลทำให้เด็กต้องเหนื่อยในการเดินทาง  โดยปรกติแล้วเรามักพบปัญหาต่างๆดังที่กล่าวมาหลังจากพบว่าลูกมีผลการเรียน ไม่ดี หรือพบว่าบ่อยครั้งเป็นครูที่พบปัญหาแล้วแนะนำให้ผู้ปกครองพาไปพบแพทย์ ในความเป็นจริงแล้วผู้ปกครองสามารถแก้ปัญหาบางอย่างได้เองก่อน หากไม่สามารถจัดการได้จึงค่อยส่งมาพบแพทย์เพื่อประเมินและรักษาต่อไป



 ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้วันสุข โดย พีรยุทธ ไชยคุณ     

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ผู้ป่วยมะเร็งเหนื่อย แน่นท้องต้องระวัง | PG&P

          ผู้ป่วยมะเร็งทุกรายไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้วหรือยัง อยู่ในระหว่างการรักษาก็ตาม หากเริ่มมีอาการเหนื่อยมากขึ้นหรือเริ่มมีอาการแน่นอึดอัดท้อง ท้องโตขึ้นกางเกงที่ใส่อยู่เริ่มคับทั้งๆ ที่ไม่ได้กินอาหารมากกว่าปกติ มิหนำซ้ำกลับเบื่ออาหารมากขึ้นซะอีก ใครมีอาการอย่างนี้ก็อย่านิ่งดูดาย รีบไปพบแพทย์โดยด่วนเพราะนั่นอาจเป็นอาการเตือนของโรคมะเร็งที่กำลังลุกลาม มากขึ้น
          อาการเหนื่อยที่มากขึ้นอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากมะเร็งแพร่กระจายมาที่อวัยวะในช่องทรวงอก ไม่ว่าจะเป็นปอด เยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มหัวใจหรืออาจเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะอื่น ระบบอื่นซึ่งอาจเกิดขึ้นใหม่หรือโรคประจำตัวที่เป็นอยู่เดิมแต่เป็นมากขึ้น เช่น โรคไต โรคหัวใจ แต่อาการเหนื่อยที่พบบ่อยในผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่มักเกิดจากมะเร็งแพร่ กระจายลุกลามมาที่ปอดหรือเยื่อหุ้มปอดมากขึ้น ทำให้เกิดภาวะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าน้ำท่วมปอด ปกติช่องเยื่อหุ้มปอดมีเพียงน้ำหล่อลื่นฉาบอยู่เล็กน้อย เมื่อมีเซลล์มะเร็งลุกลามมาที่เยื่อหุ้มปอด เซลล์มะเร็งจะผลิตน้ำหรือสารคัดหลั่งมากขึ้น ทำให้ช่องเยื่อหุ้มปอดค่อยๆ มีน้ำเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปอดข้างนั้นไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ตามปกติ การรักษาใช้เข็มเจาะดูดน้ำออกเป็นครั้งคราวและฉีดยาเข้าไปแทนที่เพื่อให้ เนื้อปอดติดกับเยื่อหุ้มปอดเป็นการปิดช่องเยื่อหุ้มปอดไปเลยหรืออาจจะใช้การ ใส่ท่อระบายน้ำคาไว้เลยแต่ไม่ค่อยนิยม เนื่องจากใส่แล้วมักถอดออกไม่ได้เพราะมีน้ำออกตลอดเวลา
          ส่วนสาเหตุเดียวกันแต่เกิดที่เยื่อบุช่องท้องจนทำให้เกิดอาการแน่นอึดอัด ท้องก็คือภาวะน้ำในช่องท้องหรือท้องมาน เช่นเดียวกับภาวะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำในช่องท้องก็มีมากมายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นโรคตับแข็ง โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ในกรณีของมะเร็งก็ไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งของอวัยวะในช่องท้อง เช่น มะเร็งของอวัยวะระบบทางเดินอาหาร มะเร็งของอวัยวะระบบสืบพันธุ์เท่านั้น มะเร็งจากอวัยวะนอกช่องท้องก็สามารถแพร่กระจายมาที่เยื่อบุช่องท้องได้เช่น กัน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด ส่วน การรักษาถ้าผู้ป่วยมีระดับโปรตีนไข่ขาวหรืออัลบูมินในเลือดต่ำก็ให้โปรตีน ไข่ขาวเข้าไปทดแทนเพื่อให้ดึงน้ำที่อยู่ในช่องท้องกลับเข้าสู่หลอดเลือด ในบางรายที่มีอาการแน่นท้องท้องตึงมากก็อาจใช้เข็มเจาะดูดน้ำออกเป็นครั้ง คราวเพื่อลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย แต่ก็ได้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเพราะไม่ช้าไม่นานเซลล์มะเร็งก็จะ ผลิตน้ำขึ้นมาใหม่ และที่สำคัญต้องระวังว่าปลายเข็มอาจจะไปเจาะถูกอวัยวะในช่องท้อง เช่น ลำไส้ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตต้องไปผ่าตัดฉุกเฉินซะอีก
          ส่วนการรักษาเฉพาะที่จะจัดการกับมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่เยื่อหุ้มปอดหรือ เยื่อบุช่องท้อง ส่วนใหญ่แล้วต้องบอกว่าในปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดที่มีประสิทธิภาพอย่าง แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดไปเลาะเอาเยื่อบุออกทั้งหมดหรือการใส่ยาเคมีบำบัดลงไป ในช่องท้องหรือช่องเยื่อหุ้มปอดเพื่อหวังจะให้ออกฤทธิ์กับเซลล์มะเร็งโดยตรง ผลการรักษาส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างจากการรักษาแบบประคับประคองเพียงอย่างเดียว ยกเว้นมะเร็งบางประเภทที่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัด เพราะฉะนั้นเริ่มมีอาการเหนื่อยหรือแน่นท้องอย่าชะล่าใจรีบไปพบแพทย์นะ ครับ...เชื่อผมสิ


ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก โดย  นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ


PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ความเครียดและเด็กไทย! | PG&P

งานวิจัยชี้เด็กไทยใช้เวลาเรียนใน ห้องเรียนเยอะที่สุดในโลก  ขณะที่หลายประเทศที่เรายอมรับว่าเขาเก่งกว่าเรานั้น เด็กของเขาใช้เวลาเรียนในห้องเรียนเพียงแค่ประมาณ 2 ใน 3 ของเด็กเราเท่านั้นเอง

ความเครียดและเด็กไทย!

สัปดาห์ที่แล้วผมไปร่วมอภิปรายหัวข้อ "พัฒนาการเด็กไทย ก้าวไกลสู่สากล" ในงานประชุมวิชาการครบรอบ 60 ปีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ข้อมูลที่น่าสนใจจากงานนี้มาเล่าสู่กันฟังครับ  จาก งานวิจัยของนักวิชาการไทยเขาพบว่า เด็กไทยใช้เวลาเรียนในห้องเรียนเยอะที่สุดในโลก ในขณะที่หลายประเทศที่เรายอมรับว่าเขาเก่งกว่าเรานั้น เด็กของเขาใช้เวลาเรียนในห้องเรียนเพียงแค่ประมาณ 2 ใน 3 ของเด็กเราเท่านั้นเอง

นี่ยังไม่นับเวลาที่เด็กของเราต้องใช้ในการเรียนพิเศษหรือกวดวิชาในตอน เย็นวันหยุดนะครับ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ความสามารถของเด็กเราโดยภาพรวมเป็นอย่างไร คงไม่ต้องสาธยายกันอีก และน่าจะเกิดความกระจ่างกันได้แล้วว่า การจับเด็กนั่งอยู่ในห้องเรียนทั้งวันแล้วยัดความรู้ให้เด็กอย่างเอาเป็น เอาตายเพียงอย่างเดียวนั้น เป็นความพยายามที่ไม่น่าจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ต่อพัฒนาการทางสติปัญญาในเด็ก ของเราตามที่เราต้องการแต่อย่างใด  แต่เราก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนกระบวนทัศน์อันนี้เสียที เด็กสอบได้คะแนนไม่ดี เราก็เปิดห้องติว กวดวิชา เพื่อกระตุ้น "ความจำ" และ "ความสามารถในการทำข้อสอบ" ให้เด็ก โดยไม่ได้มองไปที่กระบวนการเรียนรู้ของเด็กทั้งกระบวน  ผลก็คือ เด็กของเราเครียดกับการเรียนรู้ในห้องเรียนมากที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ได้เก่งที่สุดในโลก ทั้งๆ ที่ค่าเฉลี่ยระดับสติปัญญาของเด็กเราก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเด็กชาติอื่นๆ

ตอนนี้กระแสโอลิมปิกฟีเวอร์กำลังแรง เกาหลีใต้ จีน กลายเป็นฮีโร่ และแว่วๆ ว่าทั้ง 2 ประเทศนี้ใช้วิธีการแบบ "จัดหนัก" กับกระบวนการฝึกนัก กีฬาของเขา ชนิดปั้นกันเป็น

รายตัวตั้งแต่เด็กๆเลยทีเดียว และก็เริ่มมีข่าวว่าผู้มีอำนาจหลายๆคนในบ้านเราปิ๊งกับแนวคิด "จัดหนัก" ที่ว่านี้  ผมกลัวจริงๆครับว่าเราจะเอาแนวคิด "จัดหนัก" ที่ว่านี้มาใช้กับการพัฒนาการเรียนรู้หรือการศึกษาของเด็กเรา ผมไม่เชื่อครับว่า "กระบวนการปั้นดาวรุ่งโอลิมปิก" จะสามารถใช้ ได้กับการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ในทุกๆ มิติ  แคลนซี่ แบลร์ ศาสตรา จารย์ด้านจิตวิทยาประยุกต์แห่ง มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ได้เขียนบทความตีพิมพ์ในวารสาร Scien tific American Mind ฉบับเดือนกันยายน-ตุลาคม 2555 เล่าถึงอันตรายของ "ความ เครียด" ว่าส่งผลต่อพัฒนาการทางสติปัญญา ทักษะทางสังคม และพัฒนาการทางด้านอารมณ์ของเด็กอย่างไรบ้าง เขาพบว่าความเครียดที่ไม่มากเกินไปจะทำให้การเรียนรู้ของเด็กมีประสิทธิภาพ มากขึ้น

แต่ถ้าเมื่อไรที่ระดับความเครียดมากจนเกินพอดี ระดับของสารคอร์ติซอล (สารความ เครียด) ในเลือดของเด็กจะเพิ่มขึ้น สารตัวนี้จะทำให้สมาธิ ความจำ การใช้ความคิด และการควบคุมอารมณ์ของเด็กเสียไป ซึ่งในที่สุดผลก็คือประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของเด็กก็จะลดลงไปด้วย  สิ่งที่ศาสตราจารย์แคลนซี่ แบลร์ ค้นพบน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับครูและพ่อแม่ไทยที่นิยมการบีบบังคับให้เด็ก เรียนหนังสือเยอะๆ ได้ว่า สิ่งที่ตนเองทำนั้นส่งผลดีหรือผลเสียให้กับเด็กกันแน่  ในงานวิจัยที่ทำ ศาสตราจารย์แคลนซี่ แบลร์ และทีมของเขา ได้ติดตามเด็กกว่า 1,200 คน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 7 ขวบ และพบว่าเด็กกลุ่มที่พ่อแม่ชอบบังคับให้ทำตามสิ่งที่พ่อแม่คิด คอยกำกับทุกอย่างไม่ว่า

เด็กจะทำอะไร จะมีพัฒนาการในเรื่องสติปัญญา ทักษะทางสังคม และพัฒนาการทางอา รมณ์ แย่กว่าเด็กที่พ่อแม่เป็นแค่คนคอยสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง แสวงหาประ สบการณ์ด้วยตัวเอง   เขาพบว่าเด็กที่พ่อแม่คอยเป็นคนเสริมและสนับสนุน ระดับสารคอร์ติซอลจะไม่สูงเหมือนกับเด็กที่พ่อแม่คอย กำกับทุกอย่าง  นั่นก็คือ เด็กที่มีพ่อแม่คอยกำกับการเรียนรู้ทุกฝีก้าวมีความเครียดมากกว่าเด็กที่พ่อ แม่ทำแค่คอยสนับสนุน และความเครียดที่เกิดขึ้นทำให้เด็กเรียนรู้ได้น้อยลง มีพัฒนาการในด้านต่างๆไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ความหวังดีของพ่อแม่กลับ กลายเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายศักย ภาพของเด็กไปโดยไม่ตั้งใจ  กลับมาที่สังคมไทยของเรา  ในการประชุมวิชาการของ กรมอนามัยครั้งนี้มีข้อมูลที่น่า

ตกใจว่า 10 ปีที่ผ่านมา นับแต่ปี 2542 เป็นต้นมา เราได้ทุ่มเทกับการพัฒนาสติปัญญาเด็กไทยกันหนักเอาการทีเดียว แต่ผลก็คือ "ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง" คะแนนพัฒนาการของเด็กไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว สะท้อนอย่างชัดเจนว่าวิธีการที่เราใช้พัฒนาเด็กของเราตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน แล้วเราควรจะทำอย่างไร  เพราะเด็กคืออนาคตของเราทุกคน แถมขณะนี้เด็กในสังคมของเราก็มีสัดส่วนน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมด และเราก็มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อัตราการเป็นภาระของสังคมในอนาคตนับวันจะ สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่คนที่จะเป็นผู้แบกภาระของเรากลับมีศักยภาพลดลง  การบูรณาการภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมอนามัย กรมสุขภาพจิต กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ หรือองค์กรท้องถิ่น คงจะต้องทำให้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่  นอกเหนือจากการบูรณาการงานเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เราต้องยอมรับกันเสียทีว่ายุทธศาสตร์หรือกระบวนการที่เราใช้อยู่ตั้งแต่ใน อดีตมาจนถึงปัจจุบันใช้ไม่ได้ผลแล้ว เราจำเป็นต้องค้นคว้า ค้นหาหรือวิจัย วิธีการกระบวนการใหม่ๆ มาใช้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป







ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้วันสุข

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks