น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

เรื่องของน้ำตา | PG&P

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำตาธรรมชาติ ผลิตจากต่อมน้ำตาของคนเรา มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง คือ 1.ให้ความชุ่มชื้นแก่ กระจกตาและเยื่อบุตา 2.ปรับสภาพของกระจกตาให้มีความเรียบ เพื่อให้แสงผ่านได้สะดวกการมองเห็นชัดเจน 3.ให้สารอาหารและออกซิเจน รวมทั้งขจัดของเสียออกจากกระจกตา 4.มีสารอย่างอ่อนป้องกันการติดเชื้อของกระจกตา

เรื่องของน้ำตา

น้ำตาธรรมชาติมีความสำคัญมาก เมื่อตาของคนเราเกิดจุดแห้งขึ้นจากการที่น้ำตาธรรมชาติบนกระจกตาหรือเยื่อบุตาระเหยไป ระบบอัตโนมัติในร่างกายเราจะสั่งการให้เกิดการกะพริบตา การกะพริบตาเป็นการกระจายน้ำตาธรรมชาติให้กระจายไปทั่วกระจกตาและเยื่อบุตา เราจึงรู้สึกสบายตา เมื่อร่างกายผลิตน้ำตาธรรมชาติที่ใช้ในการหล่อลื่นกระจกตาและเยื่อบุตาไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตาแดง ระคายเคืองตา แสบตา ตาพร่า ตาสู้แสงไม่ได้หากท่านมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

น้ำตาเทียมเป็นสารที่ผลิตขึ้นเพื่อทดแทนน้ำตาธรรมชาติในผู้ที่ผลิตน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ หรือมี ภาวะตาแห้ง ใช้หล่อลื่นและให้ความชุ่มชื่นแก่กระจกตา ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเคืองตา หรืออาการรู้สึกไม่สบายตา เนื่องจากตาโดนลมและแสง

น้ำตาเทียมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ น้ำตาเทียมชนิดที่มีสารกันเสีย สารกันเสีย ช่วยให้น้ำตาเทียมคงสภาพอยู่ได้นาน และป้องกันการเติบโตของเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนเข้าไปขณะหยอด หลังจากเปิดขวดใช้งานแล้ว สามารถเก็บได้นาน 1 เดือน และสามารถใช้ได้ไม่เกินวันละ 5 ครั้ง

น้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสียน้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสีย มีลักษณะเป็นหลอดขนาดเล็กๆ ใช้หยอดในแต่ละวันแล้วทิ้งไปเลย มักให้ความรู้สึกสบายตากว่า เนื่องจากไม่มีสารกันเชื้อแบคทีเรียผสมอยู่จึงต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมง สามารถใช้ได้บ่อยทุก 2 ชั่วโมง ข้อดีคือผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพ้เลย แต่มักมีราคาสูงกว่าน้ำตาเทียมชนิดแรก

โดยทั่วๆ ไปน้ำตาเทียม มีทั้งรูปแบบสารละลาย เจล และขี้ผึ้ง, รูปแบบสารละลาย ให้ความสะดวกในการใช้, รูปแบบเจล หรือขี้ผึ้ง มีคุณสมบัติหล่อลื่นและรักษาความชุ่มชื้นที่ตาได้นานกว่าสารละลาย เมื่อใช้น้ำตาเทียมไม่ว่าจะเป็นชนิดหยอด เจล หรือ ขี้ผึ้ง น้ำตาเทียมจะทำหน้าที่เคลือบอยู่บนผิวกระจกตา และต้องใช้เวลาในการกระจายตัวไปทั่วผิวตา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตามัวได้ชั่วคราว การที่น้ำตาเทียมทำหน้าที่เคลือบผิวกระจกตาไว้นั้น ก็เพื่อทำให้เกิดการเก็บรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ดวงตา ซึ่งจะทำให้รู้สึกสบายตามากขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ น้ำตาเทียม

ในคนสายตาปกติ จำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมหรือไม่?

ตอบ: น้ำตาเทียมเป็นยาหยอดตาประเภทหนึ่งซึ่งช่วยให้ความชุ่มชื่นกับดวงตาโดยปกติคนเราจะมีการกะพริบตาเฉลี่ยนาทีละ 10 -15 ครั้ง เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตามาฉาบดวงตา ดังนั้นในคนปกติทั่วๆ ไปที่รู้สึกเคืองตา หรือระคายเคืองตา อาจเกิดจากภาวะที่เรียกว่า ตาแห้ง หรือ Dry eye” การใช้น้ำตาเทียมก็จะช่วยให้รู้สึกสบายตา และลดอาการดังกล่าวได้

ใครบ้างควรใช้น้ำตาเทียม?

เรื่องของน้ำตาตอบ: สำหรับผู้ที่ควรใช้น้ำตาเทียมนอกจากผู้ที่ใช้ตามคำสั่งแพทย์แล้ว ยังมีผู้สูงอายุ ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวกับจอคอมพิวเตอร์ สำหรับผู้สูงอายุจะมีปัญหาเรื่องน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาแห้ง เนื่องจากปัญหาการทำงานของต่อมน้ำตาลดลงตามอายุ

ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนจะทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาลดลงกว่าคนปกติทั่วๆ ไป กลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กลุ่มนี้อาจเกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ทำให้มีการกะพริบตาน้อยกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะตาแห้งได้ ในผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ควรพักสายตาทุกครึ่งชั่วโมง หรือเมื่อรู้สึกแสบตา เคืองตา ควรหลับตาพักสัก 3 -5 วินาที เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว

น้ำตาเทียมใช้ได้บ่อยครั้งแค่ไหน ?

ตอบ: สำหรับผู้ใช้งานโดยทั่วไป ที่หยอดน้ำตาเทียมเพื่อให้ดวงตาชุ่มชื้น และรู้สึกสบายตา สามารถใช้งานได้โดยเฉลี่ยไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะตาแห้ง หรือช่วยในการรักษาตาผิดปกติอื่นๆ สามารถใช้ได้บ่อยตามคำสั่งแพทย์ สำหรับผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยวิธี แพทย์จะสั่งให้หยอดน้ำตาเทียม เพื่อช่วยรักษาอาการตาแห้งในระยะแรกซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงระยะเวลา 3 - 6 เดือน




ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

แนะแม่กิน 'โฟเลต' วิตามินวิเศษ ป้องกันลูกน้อยพิการแต่กำเนิดได้ | PG&P

แนะแม่กิน 'โฟเลต' วิตามินวิเศษ ป้องกันลูกน้อยพิการแต่กำเนิดได้

เตรียมพร้อมก่อนท้อง ปูทางสู่ความเป็น "แม่" ป้องลูกน้อยพิการ แพทย์แนะกิน "โฟเลต" วิตามินวิเศษก่อนตั้งครรภ์และฝากครรภ์ทันทีที่รู้ ป้องกันทารกพิการแต่กำเนิด พบ 3-5% ของเด็กเกิดใหม่มีโอกาสพิการตั้งแต่ในท้องหากขาดโฟเลต ระบุผักใบเขียว ผลไม้สดแหล่งโฟเลตชั้นดี และควรกินทุกวัน ห่วงหญิงชนบทและผู้ใช้แรงงานไม่รู้ เสี่ยงมีลูกพิการวอนทุกฝ่ายช่วยให้ความรู้

พญ.พรสวรรค์ วสันต์ พญ.พรสวรรค์ วสันต์ นายกสมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการปฏิบัติการระดับชาติเพื่อวางแผนป้องกันและดูแลรักษาความพิการแต่กำเนิดในประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส.ฝากถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะพิการแต่กำเนิดของทารก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าทารกเกิดใหม่ 100 คน พบทารกพิการแต่กำเนิดประมาณ 3-5 คน โดยความพิการแต่กำเนิดพบได้บ่อย ได้แก่ กลุ่มอาการดาวน์ หลอดประสาทไม่ปิด ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ ความพิการของแขนขา และโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โดยความพิการแต่กำเนิดนั้นอาจมีสาเหตุจากพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อม

การเป็นแม่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับผู้หญิงทุกคน และผู้เป็นแม่ต่างไม่อยากให้ลูกเกิดมามีภาวะผิดปกติ ดังที่ว่าแม่ดูแลลูกตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก เพราะคุณแม่หรือผู้ที่วางแผนจะมีบุตรสามารถป้องกันการพิการแต่กำเนิดได้ด้วยการบริโภคอาหารที่มีโฟเลต ซึ่งถือเป็นสารอาหารที่วิเศษและในทางการแพทย์มีการศึกษาอย่างชัดเจนว่า ทารกที่เกิดจากแม่ที่ขาดสารโฟเลตในขณะตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้พิการทางสมองและประสาทสูง เพราะโฟเลตมีความจำเป็นต่อการสร้างเซลล์สมองที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปริมาณโฟเลตที่ร่างกายควรได้รับแต่ละวันอยู่ที่ 400 ไมโครกรัม

หญิงมีครรภ์สามารถรับประทานโฟเลตในรูปของยาเม็ดเสริมได้ซึ่งมีราคาไม่แพง และควรฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าท้อง เพื่อแพทย์ได้ให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ควรได้รับโฟเลตอย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนตั้งครรภ์เพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิด ซึ่งในระยะดังกล่าวคุณแม่ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่ากำลังตั้งครรภ์ เพราะไม่มีการวางแผนมีบุตรล่วงหน้า การให้ความรู้เรื่องการวางแผนมีบุตร การฝากครรภ์ และความสำคัญของโฟเลตจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันดำเนินการ เพราะการเกิดของเด็กพิการเพียง 1 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด จะมีภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมหาศาล โดยเฉพาะหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่อยู่ในชนบท หรือในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ซึ่งขาดข้อมูลเรื่องดังกล่าว

นอกจากหญิงตั้งครรภ์ที่จำเป็นต้องได้รับโฟเลตแล้ว บุคคลทั่วไปก็ควรรับประทานอาหารที่มีสารโฟเลตอย่างเพียงพอ เพราะโฟเลตยังไปช่วยลดความเสี่ยงความพิการแต่กำเนิดของหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งปากแหว่งเพดานโหว่  ซึ่งจากการศึกษาปริมาณโฟเลตในอาหารไทย ของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าอาหารที่มีโฟเลตสูงสุด คือ  กลุ่มผัก ผลไม้ เช่น คะน้า ผักโขม ดอกกุยช่าย ผักกาด เป็นต้น

"โฟเลตไปช่วยลดความเสี่ยงความพิการแต่กำเนิดของหัวใจและหลอดเลือด "




ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เหล้า-บุหรี่ ตัวการภาระโรค | PG&P

คนในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพเป็นอย่างมาก การศึกษาภาระโรคและสุขภาพของประชากรไทย เป็นการวิเคราะห์การสูญเสียด้านสุขภาพ โดยวัดความสูญเสียทางสุขภาพทีมีหน่วยเป็นปีสุขภาวะที่สูญเสียจากการตายก่อนวัยอันควรหรือจากการบาดเจ็บ ความพิการจากปัญหาสุขภาพต่างๆ

ในวงการแพทย์และวิจัยเป็นที่รู้จักกันดีกับหน่วยวัดนี้ที่ชื่อ “DALYs : Disability Adjusted Lift Years” ถ้าเรียกให้ง่ายๆ คือปีสุขภาพดีที่สูญเสียไปนั่นเอง

แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาดัชนีประเมินภาระโรคและสุขภาพของประชากรไทย ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการดำเนินการศึกษาพัฒนาดัชนีประเมินภาระโรคและสุขภาพของประชากรไทย มีผลการสำรวจที่น่าสนใจ

ภาระโรคและสุขภาพของประชาชนไทยปี 52

ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจกับคำว่า “ภาระโรค” ว่าหมายถึงอะไร

การป่วยและการเสียชีวิต เป็นดัชนีบอกขนาดปัญหาสุขภาพที่คุ้นเคยมานาน ทั้งนี้ความสูญเสียทางสุขภาพยังมีความพิการระดับต่างๆ อยู่ด้วย โรคบางโรคทำให้เสียชีวิตโดยไม่มีระยะเวลาป่วยหรือพิการยาวนาน บางโรคไม่ทำให้เสียชีวิต และมีระยะเวลาป่วยหรือพิการหลายสิบปี ความสูญเสียทางสุขภาพนี้รวมเรียกว่าเป็นภาระโรค (Burden of disease)

ทั้งนี้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาดัชนีประเมินภาระโรคฯ ได้จัดสำรวจภาระโรคและสุขภาพของประชากรไทยจะมีขึ้นทุกๆ 5 ปี โดยทีมวิจัยจากสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)   ซึ่งปี 2552 เป็นการสำรวจครั้งที่ 3 และจะมีการสำรวจครั้งที่ 4 ในปี 2557

ทพญ.กนิษฐา บุญธรรมเจริญ นักวิจัยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)   ทพญ.กนิษฐา บุญธรรมเจริญ นักวิจัยสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP)   กล่าวว่า จากการศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เป็นสาเหตุของภาระโรคและการบาดเจ็บของปี 2552 พบว่าปัจจัยเสี่ยงอันดับ 1 ของการสูญเสียปีสุขภาวะ  เพศชายมาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 15.7 จากยาสูบร้อยละ 11.3 ความดันโลหิตสูงร้อยละ 6.2 การไม่สวมหมวกนิรภัยร้อยละ 5.9 และภาวะคลอเลสเตอรอลสูงร้อยละ 3.1 ส่วนเพศหญิงมาจากดัชนีมวลกายสูง (อ้วน) ร้อยละ 7.7 ความดันโลหิตสูงร้อยละ 6 การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยร้อยละ 5.4 ภาวะโคเลสเตอรอลสูงร้อยละ 3.3 และ การสูบบุหรี่ร้อยละ 2.2 ทั้งนี้การศึกษาภาระโรคจากปัจจัยเสี่ยงเชื่อมโยงกับอันดับโรคนั้นมีความสำคัญมาก หากสามารถลดปัจจัยเสี่ยงก็จะสามารถลดภาระโรคที่จะตามมาได้ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สัมพันธ์กับโรคต่างๆ ในอันดับต้นๆ หลายโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมอง การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจร และโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นต้น สำหรับอายุคาดเฉลี่ยของประชากรไทยอยู่ที่ 70 กว่าปีขณะที่ค่าเฉลี่ยปีสุขภาพดีจะมีอัตราน้อยกว่านี้

“จากผลวิจัยที่ออกมาทำให้เห็นว่า เพศชายเกิดอุบัติเหตุจากการดื่มสุรา สูญเสียปีสุขภาวะดีจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในอันดับต้นๆ ทำให้เห็นความเสี่ยงของผู้ชายในช่วงวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-29 ปี ที่มีการดื่มเหล้า ซึ่งหลังจากนี้เราก็จะทำการศึกษาต่อถึงภาระที่หลีกเลี่ยงได้ เราจะป้องกันความสูญเสียได้จากการลดปัจจัยเสี่ยง เช่น เราลดความดันโลหิตของประชากรไทยเฉลี่ยไปได้ก็จะทำให้ลดภาระโรคได้เท่าไหร่ ซึ่งหากเราได้ในส่วนนี้ก็จะใช้ในการนำประชาสัมพันธ์ต่อประชากรต่อไปได้ว่าโอกาสการลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคนั้นต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง”

จะเห็นว่าในผู้ชายน่าจะลดการตายก่อนวัยอันควรได้มากจากปัจจัยเสี่ยงที่จะสามารถป้องกันการดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ได้ ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการลดความสูญเสียของผู้ชาย แต่ผู้หญิงก็ต้องเน้นเรื่องการทำให้น้ำหนักพอดี ทั้งการออกกำลังกายและการรับประทานอาหาร

หากเทียบกับปี 2547 ซึ่งเป็นการสำรวจในครั้งแรกกับปี 2552 นั้น ทพญ.กนิษฐาบอกว่า ความจริงแล้วจะสามารถเทียบได้ในบางส่วน เช่น การเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ นั้น มีอัตราลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีการใช้ยาต้านไวรัสขณะที่ก็ยังมีความสูญเสียทางด้านสุขภาพอยู่ที่ไม่ได้มาจากการเสียชีวิต สำหรับเรื่องการติดสุรานั้นมีผลใกล้เคียงกัน แต่การเกิดโรคเรื้อรังนั้นแน่นอนว่ามีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเพิ่มตามอายุของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป มีเครื่องทุ่นแรงมากขึ้น ทำให้ขาดออกกำลังกาย บริโภคอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามหากเทียบกับทั่วโลก สัดส่วนการเกิดโรคก็คล้ายคลึงกับทั่วโลกคือโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นปัญหาใหญ่ แต่อุบัติเหตุก็ยังสูง ขณะที่ประเทศเจริญแล้วในส่วนนี้จะลดลง แต่ไปเพิ่มในส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เช่น การบริโภคอาหาร ไขมันและคอเลสเตอรอล เป็นต้น

อย่างไรก็ตามแม้ผลสำรวจจะออกมาในปีนี้ หรืออีก 5 ปีข้างหน้าจะมีทิศทางอย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะนำผลวิจัยที่ได้รับไปพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพ และการสร้างการตระหนักรู้ของประชากรไทยให้เห็นถึงความสำคัญของการมีสุขภาวะที่ดีในทุกด้าน เพื่อให้อยู่ปีสุขภาพดีที่สูญเสียไปลดลง

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ระวัง! "สารหล่อลื่น" ทาถุงยาง เสี่ยงขาด "ติดโรค-ตั้งครรภ์" | PG&P

นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เตือนอย่าใช้สารหล่อลื่นประเภทน้ำมันทาถุงยางอนามัย เสี่ยงแตกง่ายใน 5 นาที แนะใช้สารประเภทน้ำแทน ปลอดภัยกว่า

ระวัง! "สารหล่อลื่น" ทาถุงยาง เสี่ยงขาด "ติดโรค-ตั้งครรภ์"

เมื่อเร็วๆ นี้ น.ส.วันเพ็ญ ดวงสว่าง นักฟิสิกส์รังสีปฏิบัติการ สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 20 ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ ว่า ที่ผ่านมาได้ทำการศึกษา เรื่อง "ผลกระทบของการทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นชนิดต่างๆ ที่มีผลต่อการเสื่อมคุณภาพและการแตกของถุงยางอนามัย" โดยพิจารณาความเหนียวและความยืดตัวของยางจากค่าความดัน และปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัย โดยได้ทำการทดสอบด้วยวิธีทดสอบตาม มอก.625-2548 ซึ่งได้กำหนดชุดควบคุมเป็นถุงยางอนามัยที่ไม่ทาสารหล่อลื่นเพิ่ม และชุดทดลองเป็นถุงยางอนามัยที่ทาสารหล่อลื่นแต่ละชนิดเพิ่ม แยกเป็นสารหล่อลื่นประเภทน้ำ (water-based) ได้แก่ เค-วาย เจลหล่อลื่นสูตรน้ำ และสารหล่อลื่นประเภทน้ำมัน (oil-based) ได้แก่ เบบี้ออยล์ บอดี้โลชั่น วาสลีน ปิโตรเลียม เจลลี่และน้ำมันพืช

น.ส.วันเพ็ญกล่าวอีกว่า ในการทดลองได้ทาเพิ่มสารหล่อลื่นบนถุงยางอนามัยทิ้งไว้เป็นเวลา 5 นาที 10 นาที 30 นาที และ 45 นาที ตามลำดับแล้วนำไปทดสอบด้วยเครื่องทดสอบความดันและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัย พบว่า ค่าเฉลี่ยความดันขณะแตกและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัยทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นประเภทน้ำ มีค่าใกล้เคียงกับถุงยางอนามัยชุดควบคุม และไม่พบจำนวนชิ้นบกพร่องในทุกช่วงเวลา ไม่มีผลทำให้เกิดความเสื่อมของถุงยางอนามัย สำหรับถุงยางอนามัยที่ทาเพิ่มด้วยสารหล่อลื่นประเภทน้ำมัน พบว่าค่าเฉลี่ยความดันขณะแตกและปริมาตรขณะแตกของถุงยางอนามัยมีค่าลดลง เห็นผลชัดเจนหลังทา 5 นาที โดยถุงยางอนามัยแตกเร็วขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับถุงยางอนามัยชุดควบคุม

"หากผู้ใช้ถุงยางอนามัยต้องการทาสารหล่อลื่นเพิ่ม จึงไม่ควรใช้สารหล่อลื่นประเภทน้ำมันกับถุงยางอนามัย แต่ควรเลือกใช้สารหล่อลื่นประเภทน้ำเท่านั้น เพราะการทาสารหล่อลื่นประเภทน้ำมัน จะทำให้ถุงยางอนามันเสื่อมคุณภาพ ไม่สามารถใช้ป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ หากใช้จะยิ่งเสี่ยงต่อการติดโรคและการตั้งครรภ์"น.ส.วันเพ็ญกล่าว
         




ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks