น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

“งดเหล้าเข้าพรรษา มหากุศล”จังหวะดีของการละ-เลิก-เหล้า

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

“งดเหล้าเข้าพรรษา มหากุศล” จังหวะดีของการละ-เลิก-เหล้า
กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ดีและประสบ ความสำเร็จอย่างมากกับแคมเปญ “งดเหล้าเข้าพรรษา” เพราะถือเป็นวันพระใหญ่ที่มีความสำคัญต่อชาวพุทธทุกคน ที่จะละเว้นจากการทำบาปทั้งปวง โดยเฉพาะการลดของมึนเมาซึ่งเป็นศีลขั้นพื้นฐานที่ควรทำ โดยในปีนี้ทางเครือข่ายองค์กรงดเหล้าได้ใช้ชื่อว่า “งดเหล้าเข้าพรรษา มหากุศล” เพราะเราจะร่วมกันสร้างกุศลใหญ่ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งในปีนี้เป็นปีแห่งการฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอีกด้วย.........
โดยนายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) บอกกับเราว่าโครงการงดเหล้าเข้าพรรษานั้นมีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ก้าวเข้าสู่ปี 10 แล้ว ประกอบกับปีนี้ถือเป็นปีแห่งการฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราจึงเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้นโดยการดึงองค์กรและครอบครัวเข้ามา ร่วมทำกิจกรรม ด้วยการ “เปิดรับสมัครองค์กรและครอบครัวบุคคลต้นแบบเลิกเหล้า”เพื่อ ต่อยอดให้องค์กรที่เข้ามามีส่วนร่วมรับเป็นนโยบายและสามารถขยายไปทำต่อในเทศ กาลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เทศกาลปีใหม่ เทศกาลสงกรานต์ เป็นต้น รวมทั้งกิจกรรมที่เกิดขึ้นยังส่งผลให้เกิดบุคคลต้นแบบภายในองค์กร และสามารถไปเชิญชวนบุคคลหรือชุมชนใกล้เคียงให้หันมาลด ละ เลิกเหล้าได้อีกด้วย ก็จะเกิดเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต
“การดื่มเหล้านั้น เป็นเรื่องของค่านิยม ดังนั้นการมีแรงจูงในการเลิกเหล้า อย่างการให้โบนัทพนักงานหากสามารถเลิกเหล้าได้สำเร็จ ซึ่งองค์กรนั้นมีกำลังพอที่จะทำเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงน่าจะมีผลดีเกิดขึ้นตามมา และถ้ามี 1 คนเริ่มทำ และเกิดเป็นตัวอย่าง ก็จะส่งผลให้เกิดเป็นกระแสตามกันไป ทั้งภายในองค์กรและองค์กรใกล้เคียงได้”  ผู้จัดการ สคล.
ผู้จัดการ สคล.บอกต่อว่า  ในส่วนของครอบครัว ที่ผ่านมาจากการสำรวจของ สคล.พบประชาชนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาครอบครัว มีสาเหตุมาจากการดื่มเหล้ามากถึง 60 %ซึ่งในครอบครัวที่มีพ่อแม่ดื่มเหล้านั้นตัวเด็กจะได้รับการปลูกฝังว่าการ ดื่มเหล้าเป็นเรื่องธรรมดาโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่มันมีแต่โทษมากมาย ซึ่งในโครงการฯ เราจะเปิดรับสมัครบุคคลที่อยากเลิกเหล้า และทำสำเร็จ นำไปเป็นต้นแบบให้แก่สังคม ว่าการเลิกแล้ว ครอบครัวดีอย่างไร มีเงินเก็บ มีความสุขอย่างไร อีกทั้งสามารถไปชักชวนคนรอบข้างเพื่อต่อยอดได้อีกด้วย เพราะครอบครัวถือตัวผลักดันสำคัญและเป็นกำลังใจที่ดีให้การเลิกเหล้า อีกทั้งจากการสำรวจของ สคล.ยังพบอีกว่า ผู้ที่งดดื่มเหล้าในช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 1,300 บาท/เดือน รวม 3 เดือนก็เกือบ 4,000 บาท ซึ่งนั่นช่วยให้มีรายได้มากขึ้นอีกทั้งจากการสำรวจของแอแบคโพลล์ที่ผ่านมา ยังบ่งบอกอีกว่า จาก 9 ปีที่ผ่านมา การรณรงค์งดเหล้าสามารถช่วยให้ประหยัดเงินอย่างน้อยได้ถึง 171,000 ล้านบาทดังนั้นการงดเหล้าถือว่าประหยัดอย่างแน่นอน
ผู้จัดการ สคล.ยังบอกถึงความคาดหวังจากการจัดทำโครงการฯ ว่า เรา หวังที่จะเห็นปัญหาที่มีสาเหตุมาจากเหล้าลดลงทั้งอุบัติเหตุ การทะเลาะวิวาทและอื่นๆ รวมถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ดีขึ้นตามไปด้วย  นอกจากนี้ยังนับเป็นการสร้างค่านิยมให้คนไทยรู้จักประหยัดมากขึ้น เพราะในแต่ละปีคนไทยต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายไปกับเครื่องดื่มมึนเมาถึงปีละ 2 แสนล้านบาท  สำหรับองค์กรที่เข้าร่วมก็เชื่อว่าจะทำให้คุณภาพชีวิตของพนักงานดีขึ้น มีเงินออม และส่งผลไปถึงประสิทธิภาพการทำงานก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้องค์กรหรือครอบครัวที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดการเข้าร่วมงดเหล้าเข้าพรรษาปี 2555 นี้ ได้ทาง  www.stopdrink.com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เห็นแล้วว่า ปัญหาเรื่องของเหล้าถือเป็นเป็นหาใหญ่ระดับประเทศ การแก้ไขปัญหามันจึงต้องอาศัยหลายฝ่ายร่วมมือกัน เมื่อเหล้ามีแต่ข้อเสีย ไม่มีข้อดีเลย มาเริ่มต้นหยุดดื่มเหล้าไปพร้อมกันกับ “งดเหล้าเข้าพรรษา มหากุศล”กันดีกว่าค่ะ


เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ content www.thaihealth.or.th

หมั่นคุยเรื่องเพศกับลูก ปูพรมความรู้ต้านเซ็กซ์


          มีคำแนะนำเบื้องต้นจากนางฐาณิชชา ลิ้มพานิช ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้ผู้ปกครองเตรียมพร้อมป้องกันเรื่องดังกล่าวแก่ลูกๆว่า อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่าสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้นการคุยเรื่องเพศกับลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก สามารถเริ่มได้ตั้งแต่เล็กๆ เพราะเป็นเรื่องของความรู้ไม่ใช่ความเชื่อที่น่ารังเกียจพ่อแม่จึงต้องมี ทัศนคติที่ถูกต้องกับเรื่องนี้ก่อน
          นอกจากนี้ยังพบว่าสภาพแวดล้อมในปัจจุบันนี้มีพื้นที่เสี่ยงค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นร้านเกม โรงหนังที่มีจุดมุมอับมืด ดังนั้นเราควรมีการส่งเสริมพื้นที่ดีๆ ให้เกิดขึ้นด้วย
          "สังคมต้องร่วมดูแลช่วยกันและกัน เช่น เวลาเห็นเด็กๆ ไปในสถานที่ที่มีพื้นที่เสี่ยง เมื่อเห็นแล้วต้องช่วยกันดูแลชักจูงกลับมา ลูกเรา ลูกเขา ลูกใคร ก็อยากให้ช่วยกันดูแล พยายามชักชวนกันไปในสถานที่ดีๆ และพยายามให้มีพื้นที่สีขาวมากขึ้น อย่าให้มีพื้นที่สีดำหรือสีเทา ขณะที่ตัวโรงหนังเองก็ควรไม่จัดพื้นที่ให้เป็นมุมอับลึกลับเกินไป และสิ่งสำคัญคือการให้ความรู้แก่เด็กๆ" ฐาณิชชากล่าว
          ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัวยังยืนยันว่า แม้ในสังคมยุคใหม่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่พ่อแม่คือผู้ที่จะเลี้ยงดูลูกได้ดีที่สุด
          "ผู้ปกครองยุคใหม่จะรู้สึกกังวลว่าจะเลี้ยงลูกได้หรือไม่ จริงๆ แล้วไม่มีใครเลี้ยงลูกได้ดีที่สุดเท่ากับตัวเราเอง พอเรามีลูกแล้วมักจะหวังพึ่งนักวิชาการ นักวิชาชีพ จริงๆ แล้วต้องมั่นใจก่อนว่าเราสามารถเป็นพ่อแม่ที่ดีและดูแลลูกได้ หาความรู้โดยเลี้ยงลูกอย่างมีความรู้ อยู่ในหลักของการเลี้ยงที่เหมาะสม เลี้ยงดูตามพัฒนาการตามวัย ต้องแสดงบทบาทที่ถูกต้อง เป็นแบบอย่างที่ถูกต้องเหมาะสม และปรับความเชื่อที่ว่าลูกอยู่บ้านดีกว่าลูกออกไปแล้วเป็นอันตราย เพราะในจุดนี้ต้องเข้าใจว่าความอันตรายนั้นเดี๋ยวนี้ก็มาถึงบ้านแล้ว เช่น จากสื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เราเองต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก" นางฐาณิชชากล่าว และว่า
          ขณะเดียวกันก็ควรหาแหล่งที่ปรึกษา อย่าเก็บปัญหาไว้เพียงลำพังจนสายเกินไป โดยในส่วนมูลนิธิฯ เองนั้นก็มีกิจกรรมสำหรับครอบครัว มีพื้นที่ให้ครอบครัวได้มีโอกาสเรียนรู้ และยังมีคอร์สเรียนรู้ของเด็ก 0-6 ปีด้วย
          ด้าน ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดังได้สะท้อนปัญหาดังกล่าวว่า การดำเนินชีวิตของเด็กวัยรุ่นไทยในปัจจุบันเป็นไปในลักษณะ 5 ประการคือ 1.การขาดวิ่น ขาดวินัยในชีวิต 2.การมีเอกลักษณ์สับสน ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร ไม่มีเป้าหมายในชีวิต 3.มีอาการเอาแต่ใจ ชอบความสบาย มีค่านิยมต้องการเงินมากๆ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ 4.การมีอารมณ์ร่วมกับมนุษยสัมพันธ์ ในรูปแบบที่ไม่มีทัศนะชีวิตและทัศนะสังคม ไม่รู้อะไรควร อะไรไม่ควร และทำไปแล้วจะมีผลอย่างไรกับคนรอบข้างบ้าง และ 5.การมีอาการทางเพศที่ขาดการยั้งคิดถึงสังคมรอบ ข้าง
          ดร.วัลลภบอกต่อว่า การมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมของเด็กวัยรุ่นไทยในปัจจุบันนั้น ปัญหานี้ด้านหนึ่งเกิดจากการคลั่งลัทธิเสรีภาพ การแพร่ระบาดหนักของสื่อลามกในช่องทางต่างๆที่เป็นตัวกระตุ้นและทำให้เกิด ความเชื่อในค่านิยมผิดๆในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ จนอาจนำไปสู่สภาวะการเสพติดเซ็กซ์ แสดงออกถึงความหมกมุ่นเรื่องเพศและคิดว่าเป็นความสุขที่แท้จริงในชีวิต เป็นความเชื่อที่ผิดซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องและครอบครัวต้องคอยดูแล และสั่งสอนเยาวชนให้เข้าใจเรื่องเพศตั้งแต่เล็กเพื่อเสริมความรู้และป้องกัน ปัจจัยเสี่ยง.
          ป้องกันเซ็กซ์ก่อนวัยอันควร
          จากเว็บไซต์ของ สสส. http://www.thaihealth.or.th นำเสนอกลวิธีการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควรให้น้องๆ เยาวชนได้รับรู้ไว้เป็นเกราะป้องกันตนเพื่อชีวิตที่ดีกว่าได้
          เริ่มต้นจากการเรียนรู้ถึงความคิดที่แตกต่างกันของหญิงและชายในเรื่องเพศ เช่น ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่มีความรัก ขณะที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์เพราะความรัก ดังนั้นความตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิงจะเป็นการป้องกันการมีเพศ สัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดได้
          วัยรุ่นชายควรคิดเสมอว่าวัยรุ่นหญิงเป็นเพศเดียวกับแม่ พี่น้อง ควรช่วยเหลือและให้เกียรติ ควรหลีกเลี่ยงการไปพักค้างคืนร่วมกันเป็นหมู่คณะ หรือตามลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล เช่น สถานที่เปลี่ยว โรงแรม และสถานเริงรมย์ทุกรูปแบบ และไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน เพราะอาจนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่คาดคิดได้ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดทุกชนิด
          นอกจากนี้ ผู้หญิงควรแต่งกายเรียบร้อยและมิดชิด ไม่ควรแต่งกายในลักษณะที่ยั่วยุให้ผู้พบเห็นเกิดอารมณ์ทางเพศ เช่น เสื้อสายเดี่ยว เสื้อเกาะอก กระโปรงสั้น และกางเกงรัดรูปเกินไป ขณะที่ฝ่ายชาย หากมีอารมณ์ทางเพศก็อาจต้องสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในสถานการณ์ที่เหมาะสมใน ที่ลับ และอย่าพร่ำเพรื่อจนเกินไปถือเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง
 
 
 
 
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

สธ.ย้ำปรับค่านิยมป้องกันโรคซึมเศร้า-ฆ่าตัวตาย

สธ. แนะ ปรับเปลี่ยนค่านิยม ป้องกันซึมเศร้าฆ่าตัวตาย ย้ำ ความงามไม่ใช่เพียงรูปร่างหน้าตา

 สธ.แนะปรับค่านิยมป้องกันโรคซึมเศร้า

นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สธ.กล่าวว่า การทำศัลยกรรมความงามแล้วไม่พอใจผลการทำศัลยกรรม สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน ที่ให้คุณค่ากับเรื่องรูปร่างหน้าตา สะท้อนค่านิยมของสังคมในภาพรวม ทั้งการลดความอ้วน การดัดฟันการผ่าตัด หรือการฉีดเพื่อความสวยงาม ฯลฯ ทั้งนี้ พบว่า ส่วนหนึ่งอาจมีปัญหาสุขภาพจิต กลุ่มแรก คือ กลุ่มที่วิตกกังวลเกินเหตุ กลุ่มที่สอง คือ คิดว่ารูปร่างหน้าตาตัวเองบกพร่องตลอดเวลา ซึ่งจะพยายามทำศัลยกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่พอใจในสิ่งที่ทำ และกลุ่มสุดท้าย คือ มีภาวะซึมเศร้า ทำให้มองตัวเองติดลบ ซึ่งมองไปถึงความไม่พอใจรูปร่างหน้าตา

รมช.สธ. กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากจะให้คุณค่ากับรูปร่างหน้าตา พ่อแม่ เพื่อน วัยรุ่น โรงเรียน แพทย์ ตลอดจนสื่อมวลชน ควรมีการส่งเสริมความสามารถหรือเน้นคุณค่าทางบวกที่จะทดแทนและมีคุณค่าเหนือ กว่าเรื่องรูปร่างหน้าตา รวมทั้ง พึงระวังว่า ความไม่พอใจรูปร่างหน้าตา นอกจากเป็นเรื่องค่านิยมแล้ว อาจมีปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ตามมาได้ โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุ หรือเป็นผลจากการทำศัลยกรรมตกแต่งก็ได้ ดังนั้น หากมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ เมื่อสภาวะจิตใจดีขึ้นแล้วอาจต้องทำจิตบำบัดให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเองให้ มากขึ้น

รมช.สธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า บทบาทของวิชาชีพ โดยเฉพาะแพทย์ ทันตแพทย์และเภสัชกร ที่เกี่ยวข้องกับการรักษารูปร่างหน้าตา โดยจะต้องมีจรรยาแห่งวิชาชีพในการให้บริการ คำนึงว่าผู้รับบริการมีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่ โดยการพูดคุยสังเกตเบื้องต้น และส่งต่อจิตแพทย์เมื่อพบปัญหา มากกว่าคำนึงถึงแต่การป้องกันการฟ้องร้อง

นพ.สุรวิทย์ กล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนค่านิยมที่เน้นความสวยงามมากกว่าความรู้ความ สามารถ หรือการทำความดี ช่วยเหลือสังคม ซึ่งต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก ทั้งนี้ การศัลยกรรม หากทำแล้วไม่เป็นที่พอใจหรือดูแย่กว่าที่เป็นอยู่ก็ยิ่งทำให้เกิดความเครียด มากยิ่งขึ้น ซึ่งครอบครัว เพื่อน หรือผู้ใกล้ชิดต้องคอยสังเกตและเตือน ตลอดจนให้กำลังใจ และปลอบประโลมจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะอาจส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าและเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้ในที่สุด จึงต้องคำนึงถึงผลดีผลเสียที่เกิดขึ้นให้มากด้วย อย่างไรก็ตาม สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ได้ที่สายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง





ที่มา :หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

เผยปีนี้คนไทยป่วย "โรคมือ เท้า ปาก" เพิ่มขึ้น

คร.พบคนไทยป่วยโรคมือเท้าปากมาก กว่าปีที่แล้ว แต่ไร้ตาย ยันสถานการณ์ไม่น่าห่วง เหตุเชื้อไม่รุนแรง ไม่มีการระบาดกลุ่มใหญ่ แนะโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก หากระบาดเกิน 3 คนให้ปิดห้อง เกิน 3 ห้องให้ปิดโรงเรียน พร้อมจี้สอนเด็กล้างมือให้สะอาดและถูกต้องป้องกันโรคได้
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีเกิดการระบาดโรคมือ เท้าปาก ที่ศูนย์เด็กเล็กแห่งหนึ่งใน จ.ตราด จนต้องปิดศูนย์เด็กเล็กดังกล่าว ว่า สถานการณ์ในประเทศไทยถือว่าไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากเชื้อไวรัสที่เกิดในประเทศไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นเชื้อชนิดที่ไม่รุนแรง ตั้งแต่ต้นปี 2555 - ปัจจุบัน มีผู้ป่วย 6,800-6,900 คน แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต แม้ว่าแนวโน้มการระบาดจะมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่เป็นการป่วยแบบกระจายตัวไม่มีการระบาดเป็นกลุ่มใหญ่ จะพบการติดเชื้อครั้งละ 20-50 คนเท่านั้น ซึ่งจังหวัดที่มีการป่วยมาก เช่น เชียงราย พะเยา บุรีรัมย์ ตราด และสุพรรณบุรี
นพ.พรเทพ กล่าวว่า สถานการณ์ล่าสุด ที่พบการระบาดที่ จ.ตราด จากการรายงาน เป็นการระบาดในศูนย์เด็กเล็ก องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) 2 แห่ง แห่งละประมาณ 10 คน ซึ่งการสั่งปิดศูนย์เด็กเล็กชั่วคราวเป็นอำนาจของอบต. อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมโรคมีข้อแนะนำว่า หากมีนักเรียนป่วยในห้องเรียนเดียวกันเกิน 5 คน ให้ปิดห้องเรียนนั้น หากติดเกิน 3 ห้อง ให้ปิดศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียน เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดกลุ่มใหญ่ ทั้งนี้ การจะสั่งปิดโรงเรียนหรือไม่นั้น ไม่จำเป็นต้องแจ้งกรมควบคุมโรค แต่ขณะนี้ยังไม่พบการระบาดในโรงเรียนระดับอนุบาล หรือ ประถม แต่อย่างใด
"โรคมือ เท้า ปาก ในประเทศไทยมีความรุนแรงของโรคน้อย มีคนป่วยหลายพัน แต่ไม่มีคนเสียชีวิตเลย โดยโรคนี้ติดจากมือของเด็กที่เข้าห้องส้วม แต่ล้างมือไม่สะอาดและไปสัมผัสอาหารหรือของเล่น ทำให้เชื้อติดต่อสู่เด็กคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นต้องสอนให้เด็กล้างมืออย่างถูกวิธี ทั้งหน้ามือ หลังมือ ซอกนิ้ว ข้อมือ เล็บมือ หากล้างมือได้ดีก็จะไม่เกิดการติดต่อของโรคนี้" นพ.พรเทพ กล่าว


ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks