น้ำมันรำข้าว PG&P

น้ำมันรำข้าว PG&P
น้ำมันรำข้าว จมูกข้าว oryzanol

โบทานีก้า PG&P

โบทานีก้า PG&P
โบทานีก้า สูตรข้าวเหนืยวก่ำงอก

เอช พลัส H Plus PG&P

เอช พลัส H Plus PG&P
เอช พลัส กรดอะมิโนธรรมชาติ

ไฟรโตโปร Phyto-Pro

ไฟรโตโปร Phyto-Pro
ไฟรโตโปร คืนความแข็งแรงและความมั่นใจให้กับคุณสุภาพบุรุษ

ปรับโภชนาการสมดุลเด็กขาดสารอาหาร

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นักโภชนาการ ชี้ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็กกำลังน่าเป็นห่วงเพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบทำให้หลายครอบครัวต้องซื้ออาหารจานด่วน

ปรับโภชนาการสมดุลเด็กกขาดสารอาหาร

ทั้งที่มีอาหารที่มีประโยชน์มากมายวางจำหน่ายในท้องตลาด แต่เด็กไทยหลายคนก็ยังบริโภคอาหารไม่สมดุล ดร.ภญ.มาลิน จุลศิริ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ คณะเภสัชกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิด เผยว่า ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็กวัยซนกำลังน่าเป็นห่วงเพราะวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ทำให้หลายครอบครัวต้องซื้ออาหารจานด่วน ซึ่งส่วนใหญ่ขาดความสมดุลทางโภชนาการ โดยเด็กจำนวนไม่น้อยนิยมบริโภคขนมและดื่มน้ำอัดลมจนติดเป็นนิสัย จากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเด็กไทยใช้เงินซื้อขนมเฉลี่ยคนละ 9,800บาทต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาที่จ่ายเพียงคนละ 3,024บาทต่อปี

"พฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง มักเริ่มตั้งแต่วัยก่อนเรียนคือ 4-5ขวบ พอถึง 6ขวบเด็กจะติดเป็นนิสัย และยิ่งโตขึ้นคุณพ่อคุณแม่ยิ่งมีความยากลำบากในการดูแลเด็ก ทำให้บ่อยครั้งเด็กเกิดปัญหาขาดสารอาหารที่จำเป็น ขณะเดียวกัน เกิดปัญหาของโรคอ้วน ในช่วง 10ปีที่ผ่านมา อุบัติการณ์โรคอ้วนในเด็กไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและตามสถิติดูเหมือนเร็ว ที่สุดในโลก และภายในช่วงระยะเวลา 5ปีที่ผ่านมา ยังพบว่าเด็กไทยมีเชาวน์ปัญญาโดยเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ระดับ 90มีมากถึง 1ใน 4หรือร้อยละ 25"

ดร.ภญ.มาลินบอกอีกว่า การเกิดปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก ถ้าปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยไม่รีบแก้ไขจะส่งผลต่อสุขภาพ ของเด็กเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ โดยจะเกิดปัญหาของโรคเรื้อรังง่ายขึ้น เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อม เป็นต้น

"ปัญหาภาวะโภชนาการในเด็ก แก้ไขไม่ยากเพียงแต่ปฏิบัติการด้วยวิธีการง่ายๆ ด้วยการให้เด็กบริโภคอาหารที่เหมาะสมทุกวันโดยเฉพาะอาหารมื้อเช้าให้บริโภค อาหารที่มีคุณค่าและในปริมาณที่เพียงพอ ถ้าไม่แน่ใจว่าเด็กจะบริโภคอาหารได้อย่างสมดุลทั้งในด้านคุณค่าสารอาหารและ ปริมาณสารอาหารการให้เด็กบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มเติม เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กมีโอกาสได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการ พัฒนา การได้"

สิ่งไหนที่มากไปก็ไม่ดี สิ่งไหนที่น้อยไปก็ไม่ดี ที่ดีที่สุดคือ เดินทางสายกลาง







ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

นอนกรน...สัญญาณอันตราย

การนอนกรน อาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป เพราะปัญหาเรื่องการนอนกรนนอกจากจะสร้างความรำคาญต่อคนนอนข้างๆ แล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อระบบหายใจและอาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ กระทั่งส่งผลเสียกับอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้อย่างเรื้อรัง

นอนกรน...สัญญาณอันตราย

ทั้งนี้มีงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา โดย นายแพทย์ Jiang He และคณะ พบว่าคนเป็นโรคนอนกรนที่มีการหยุดหายใจมากกว่า 20 ครั้งต่อชั่วโมง มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าคนปกติ และจากการศึกษาพบว่าประมาณ ร้อยละ 85 ของผู้ป่วยเป็นเพศชาย และเพศชายมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศหญิงด้วยอัตราส่วน 7:1แต่เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนเพศหญิง จะมีโอกาสเป็นมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าฮอร์โมนเพศจะมีผลต่อโรคนี้ได้

รศ.นพ.ประกอบเกียรติ หิรัญวิวัฒน์กุล จากภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าว ว่า "การนอนกรน แบ่งได้ 2ชนิด คือ การนอนกรนชนิดไม่อันตราย (Simple snoring) และการนอนกรนชนิดอันตราย (Obstructive sleep apnea หรือ OSA) ซึ่งคนที่นอนกรนชนิดไม่อันตราย มักจะมีอาการนอนกรนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงกรนอาจดังหรือค่อยขึ้นอยู่กับว่าเกิดจากบริเวณใด ถ้าเกิดเพราะมีเพดานอ่อนหย่อนหรือลิ้นไก่ยาวมักทำให้กรนเสียงดังมาก โดยเฉพาะเวลานอนหงาย แต่ถ้ากรนจากการตึงแคบบริเวณโคนลิ้น เสียงมักเบาเหมือนหายใจแรงๆ"  ดังนั้น ความดังของเสียงกรนจึง ไม่ได้บอกว่าอันตรายหรือไม่ แต่ถ้ามีอาการหายใจสะดุด หยุดหายใจเหมือนคนหายใจไม่ออก หรือสำลัก อันนี้ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งมักพบในอาการนอนกรนชนิดอันตราย

อาการของโรคนอนกรนชนิดอันตราย นอกจากจะกรนเสียงดัง มีอาการคล้ายสำลักหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก ต้องลุกไปถ่ายปัสสาวะตอนกลางดึกแล้ว สมองจะรู้สึกตื้อ คิดอะไรไม่ออกเพราะง่วงนอน ขี้ลืม ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน ตื่นขึ้นมาด้วยอาการอ่อนล้า ไม่สดชื่น หรือปวดศีรษะ และต้องการนอนต่ออีกทั้งที่ไม่ได้นอนดึก บางคนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย อาทิ จุกแน่นคอเหมือนมีอะไรติดคอ หูอื้อ หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห รวมทั้งมีความรู้สึกทางเพศลดลง

คนที่เป็นโรคนอนกรนชนิดอันตราย เมื่อยังหลับไม่สนิทอาจจะเป็นเพียงกรนปกติ แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ มีลักษณะของการกลั้นหายใจ ตามด้วยการสะดุ้งหรือสำลักน้ำลาย หรือหายใจอย่างแรงเหมือนขาดอากาศ อาจเกิดขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยครั้งต่อคืน ซึ่งในขณะที่มีการหยุดหายใจ ออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ หลอดเลือด ปอด และสมอง

ต่อมาเมื่อออกซิเจนในเลือดแดงลดต่ำลงมากจนถึงจุดอันตราย ร่วมกับมีการหายใจที่แรงมาก จนต้องใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจเพื่อพยายามให้ลมหายใจสามารถผ่านตำแหน่ง ที่ตีบตันไปให้ได้ ภาวะนี้จะกระตุ้นให้สมองที่กำลังหลับสนิทอยู่ต้องตื่นขึ้นมา ทางเดินหายใจจะถูกเปิดขึ้น และทำให้ออกซิเจนสามารถผ่านเข้าไปในปอดได้อีก ตอนนี้เองออกซิเจนในเลือดแดงจะกลับมาสูงขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน สมองจะเริ่มหลับอีก การหายใจก็จะเริ่มขัดข้องอีกครั้ง วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ไปตลอดคืน ทุกคืน ส่งผลให้สมรรถภาพการนอนหลับเสียไป เนื่องจากมีช่วงเวลาของการนอนหลับสนิทน้อยเกินไป ผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด สมอง และปอด จนทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม

การรักษาโรคการนอนกรน ในปัจจุบันมีหลายวิธีด้วยกัน คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาทิ ลดความอ้วน เพราะจากการสำรวจพบว่า เมื่อน้ำหนักลดลง 10%อัตราการหยุดหายใจก็จะลดลงด้วย ช่วยให้การหายใจดีขึ้น การแลกเปลี่ยนออกซิเจนสะดวกขึ้น ซึ่งการลดความอ้วนนั้น ไม่ควรรับประทานยาลดความอ้วน เพราะจะมีผลมากมาย เช่น ทำให้ใจสั่น และเมื่อหยุดยาก็จะกลับมาอ้วนใหม่ แต่ควรปรับเรื่องพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายอย่างเป็นกิจวัตร จะส่งผลดีที่สุด

หลีกเลี่ยงการนอนหงายโดยให้นอนท่าตะแคง เพราะจะช่วยให้หลับดีขึ้น เนื่องจากการนอนหงายจะทำให้ลิ้นตกไปด้านหลังชิดกับ ผนังช่องคอด้านหลัง ทำให้เกิดการอุดตันได้มาก ส่วนการนอนตะแคงจะทำให้ลิ้นไม่ตกไปที่คอด้านหลังมากเกินไป และสามารถช่วยลดอาการกรนได้บ้าง

งดการดื่มสุราเพราะการดื่มสุราจะยิ่งทำให้มีอาการกรน และหยุดหายใจมากยิ่งขึ้น เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้เกิดการยุบตัวของทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้นและกดสมอง ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อออกซิเจนในเลือดช้า กว่าเดิม นอกจากนี้ยังต้องงดสูบบุหรี่ หรือทำงานหนัก รวมทั้งงดยาบางประเภท เช่น ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ เพราะยากลุ่มนี้ มีผลต่อการหายใจขณะหลับ

ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคกรนชนิด อันตรายไม่รุนแรง มักนิยมใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ครอบฟันบนและล่าง ทำหน้าที่ยึดขากรรไกรอันล่างให้เลื่อนไปด้านหน้า อุปกรณ์ชนิดนี้จะช่วยให้การหายใจดีขึ้น และมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด

การใช้เครื่องช่วยหายใจ (CPAP)จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมี อาการนอนกรนชนิดรุนแรงมาก เครื่องชนิดนี้จะปล่อยแรงดันบวก และทำให้ช่องทางเดินหายใจกว้างขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วย หลับสบาย ซึ่งปัจจุบันการรักษาด้วยเครื่อง CPAP นับว่าได้ผลดี แต่ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถใช้เครื่อง CPAP ได้ แพทย์อาจแนะนำให้แก้ไขความผิดปกติด้วยการผ่าตัด

การรักษาโดยการผ่าตัดจะช่วยแก้ไขปัญหาทางเดินหายใจที่ อุดตันขณะหลับ โดยผู้ป่วยควรได้รับการตรวจการนอนหลับ เพื่อยืนยันว่าเป็นอันตรายมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการผ่าตัดก็จะแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของผู้ป่วย

เช่น การผ่าตัดบริเวณเพดานอ่อน การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ออก การผ่าตัดเพดานอ่อนโดยเลเซอร์ การผ่าตัดฝังพิลลาร์ การใช้คลื่นวิทยุ การผ่าตัดโพรงจมูก การผ่าตัดเลื่อนคางเพื่อดึงกล้ามเนื้อลิ้นมาด้านหน้า การผ่าตัดเลื่อนขากรรไกรบนและล่างมาด้านหน้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการตรวจด้วยกล้องส่องตรวจในขณะนอนหลับช่วยระบุตำแหน่งที่ผิด ปกติ เพื่อให้การผ่าตัดแก้ไขมีประสิทธิภาพและยังช่วยลดการผ่าตัดที่ไม่จำเป็นได้ อีกด้วย

ปัญหาการนอนกรน ที่ใครบางคนอาจ มองแค่น่ารำคาญ หากปล่อยไว้อาจเป็นอันตราย ถึงชีวิต ดังนั้นหากใครกำลังประสบปัญหานี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อแก้ไขก่อนสายเกินไป







ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

แพทย์เตือนเด็กเพ่งสื่อออนไลน์มาก ระวังคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

แพทย์เตือนเด็กเพ่งสื่อออนไลน์มาก ระวังคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

แพทย์เตือนเด็กเพ่งสื่อออนไลน์มาก ระวังคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเปิด เผยว่า ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตนับเป็นสื่อที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน เป็นกลุ่มหลักในการใช้สื่อออนไลน์ เพราะสามารถเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้จากทุกมุมโลก แต่ปัญหาคือ หากใช้สื่อเหล่านี้มากเกินไปย่อมส่งผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome) เกิดจากการพฤติกรรมการใช้เป็นเวลานาน และมองจอใกล้เกินกว่าครึ่งฟุต ทำให้ต้องใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตาและประสาทตาในลักษณะเพ่งจอตลอดเวลา ก่อให้เกิดอาการดวงตาตึงเครียด ตาล้า ตาช้ำ ตาแดง แสบตา มองภาพได้ไม่ชัดเจน และมักจะเกิดอาการปวดศีรษะตามมา และยังมีโอกาสสายตาสั้นเพิ่มร้อยละ 30 ข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จะมีอายุระหว่าง 10-15 ปี มีปัญหาสายตาสั้นมากที่สุด

นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า ปัญหาสายตาสั้น ดวงตาตึงเครียด เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กวัยเรียนมาก ทำให้มองไม่เห็นกระดานเรียนหน้าชั้น และยังส่งผลต่อการทำงานบางอาชีพที่ต้องใช้สายตาในอนาคต เช่น นักบิน ตำรวจ ทหาร ตัวเลขผู้ใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันก็ยิ่งสูงขึ้น

"ข้อแนะนำไม่ควรเล่นเกินวันละ 1 ชั่วโมง ไม่ควรเล่นในห้องมืด ควรปรับความสว่างให้มีความพอดีเท่ากับความสว่างของห้อง แสงไฟไม่ควรส่องจากด้านหลังเข้าหาจอ ปรับความคมชัดของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับที่รู้สึกว่าสบายตา และหากเป็นจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ควรใช้แผ่นกรองแสงและดูแลทำความสะอาดหน้าจอไม่ให้มีฝุ่นเกาะติดเพื่อให้มอง เห็นชัดเจน" จักษุแพทย์กล่าว







ที่มา :หนังสือพิมพ์มติชน  


PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

เคล็ด (ไม่ลับ) คุณแม่ตั้งครรภ์

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แม่สวย ช่วยลูกสุขภาพดี 

 
       ช่วง เวลาตั้งครรรภ์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเพศหญิง ไม่ว่าจะเรื่องฮอร์โมน ร่างกาย และจิตใจ สิ่งเหล่านี้ ล้วนสร้างความหงุดหงิด รำคาญใจ จนทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย เมื่อมีใครมาขัดใจ หรือไม่ตามใจในสิ่งที่ต้องการ
      
       ด้าน รูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปก็เช่นกัน สร้างความไม่พอใจ และความไม่มั่นใจให้กับว่าที่คุณแม่เป็นอย่างมาก เนื่องจากกลัวว่า สามีจะไม่รัก หรือไม่อยากเข้าใกล้ เพราะด้วยสรีระที่อ้วน ผิวหมองคล้ำ และมีขี้ไคลตามรอยพับในจุดต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งบางรายอาจมีสิวร่วมด้วย
       
       แต่ในเรื่องดังกล่าวนี้ นพ.วรชัย ชื่นชมพูนุท สูติ นรีแพทย์ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลับมองว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงขณะตั้งครรภ์ เพราะเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งถ้ารู้จักดูแล และเอาใจใส่ ความสวยขณะตั้งครรภ์ก็สามารถทำได้ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น มีฝ้า และผิวคล้ำ มีขี้ไคลตามคอ หรือข้อพับ และหน้ามันเป็นสิว ก็จะหายไปเองหลังการคลอดผ่านไปสักประมาณ 1 - 2 เดือน
       
       ถึงร่างกายจะเปลี่ยนไป แต่คุณแม่ก็สวยได้
      
       นพ.วรชัย อธิบายกับทีมงานว่า ช่วงตั้งครรภ์จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือช่วง 3 เดือนแรก ซึ่งช่วงนี้จะมีอาการเสี่ยงต่อการแท้งได้สูง จึงต้องระวังให้มากที่สุด รวมทั้งจะมีอาการแพ้ท้อง แต่ในบางคนอาจจะไม่มีอาการ หากคุณแม่ที่มีอาการดังกล่าว คุณหมอแนะนำว่า ไม่ควรกินอาหารมากเกินไป แต่ต้องกระจายการกิน ไม่ควรกินมื้อใหญ่
      
       นอกจาก นี้การกินขิงจะช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ดี หรืออาหารที่ย่อยง่าย อย่างเช่น ขนมปังปิ้ง น้ำเต้าหู้ ส่วนอารมณ์ในช่วงนี้จะมีความแปรปรวน หงุดหงิด โมโหง่าย และขี้ใจน้อย จึงอยากได้รับความใส่ใจจากสามี และครอบครัว รวมไปถึงญาติพี่น้อง ทั้งนี้ยังมีภาวะของสิวที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ทางที่ดี ไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้ง เพราะจะทำให้หน้ามันเร็ว นำไปสู่การเกิดสิวได้ ควรล้างวันละ 1-2 ครั้งก็พอ
       
       ช่วงต่อมาคือ ระยะ 3 เดือนที่สอง ช่วงนี้คุณแม่จะมีความกังวลเรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น คุณหมอแนะว่า ต้องควบคุมการกิน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ส่วนผิวจะคล้ำขึ้น ดังนั้น ควรใส่เสื้อผ้าที่ปกปิด และทาซันบล็อกเมื่อต้องออกแดด
       
       สำหรับผม ช่วงนี้ จะมีลักษณะเป็นลอนๆ มันๆ (ในบางคนเท่านั้น) ควรใช้ครีมนวดผม และกินอาหารที่มีสังกะสี เพราะเป็นแร่ธาตุที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเส้นผมเพื่อให้เส้นผมแข็งแรง ซึ่งพบได้ในนม และผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ ไข่ และอาหารทะเล นอกจากนี้คุณแม่มักจะมีอาการท้องผูกร่วมด้วย ควรทานน้ำ และผักผลไม้ให้มาก เพราะจะมีเส้นใยช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น ลดการกินชา กาแฟ เนื่องจากทำให้ท้องผูก และเกิดเป็นริดสีดวงทวารได้ ถ้าเป็นแล้วจะหายยาก

 

       การเปลี่ยนแปลงร่างกายทุกๆ 3 เดือนขณะตั้งครรภ์

      การเปลี่ยนแปลงร่างกายทุกๆ 3 เดือนขณะตั้งครรภ์ และระยะ 3 เดือนสุดท้าย คุณแม่จะมีความกังวลเรื่องรอยแตกลายบริเวณท้อง ทางแก้ก็คือ ต้องควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้มากจนเกินไป และใช้ Moisturizer ทาเป็นประจำ

      อย่างไร ก็ดี คุณหมอให้เคล็ดว่าสิ่งที่จะช่วยลดรอยแตกลายบริเวณหน้าท้องได้นั้น ต้องเริ่มจากการออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อท้องแข็งแรงตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพราะจะช่วยดันทรงของท้องได้ดีขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น สังเกตได้จากผู้หญิงต่างประเทศ มักจะออกกำลังกายทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เวลาตั้งครรภ์ ท้องจึงไม่ค่อยแตกลาย เพราะกล้ามเนื้อท้องขยายตัว และยืดหยุ่นได้ดี
       
       ที่ สำคัญ ช่วงนี้คุณแม่จะเกิดความกังวลในการคลอด เช่น กลัวคลอดยาก กลัวตกเลือด กลัวว่าลูกจะพิการ เป็นต้น ทางที่ดีจึงควรปรึกษาแพทย์ จะทำให้สบายใจขึ้น อย่าไปเชื่อข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว รวมถึงจะมีอาการบวมของท้องมากขึ้น ถ้ามีอาการบวมมากเกินปกติ รวมทั้งมีโปรตีน หรือไข่ขาวออกจากช่องปัสสาวะ คุณหมอแนะว่าให้กินมะนาว และแตงกวา จะช่วยขับปัสสาวะ ลดการบวมได้ ขณะเดียวกันไม่ควรทานอาหารที่เค็มเกินไป ลดการยืนนานๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และไม่หักโหม
      
       น้ำหนักตัวแค่ไหนถึงจะดี
      
       น้ำหนักถือเป็นเรื่องสำคัญของคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งก่อนตั้งครรภ์ ต้องควบคุมน้ำหนักให้ดี ไม่ผอม หรืออ้วนจนเกินไป คุณหมอจึงให้คำแนะนำว่า การจะดูว่าน้ำหนักเหมาะสมหรือไม่นั้น คำนวณได้จาก ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) หรือ BMI เพื่อประเมินว่าร่างกายอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ โดยใช้สูตรคำนวณดังนี้

       เช่น ถ้าคุณหนัก 55 กก. สูง 160 ซม. ต้องคิดเป็น 1.60 เมตรก่อน แล้วจึงจะเอาไปคำนวณ โดยเอา 1.60 x 1.60 คิดได้เป็น 2.56 จากนั้นเอาน้ำหนักคือ 55 ตั้ง แล้วหารด้วยค่าที่ได้จากส่วนสูงคือ 2.56 ดังนั้น BMI ก็จะเท่ากับ 21.5 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์สมส่วน เพราะมีค่าตามเกณฑ์ปกติคือ 20 - 25.9 แต่ถ้าต่ำกว่านี้ถือว่าผอม เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย แต่ถ้าน้ำหนักมากเกินไป อาจเสี่ยงต่อความดันเลือดสูง เบาหวาน รกผิดปกติ และส่งผลต่อลูกในท้องได้
      
       อย่างไรก็ดีเมื่อตั้งครรภ์น้ำหนักตัวของคุณแม่จะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 12 กก. และเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ และคุมน้ำหนักได้อย่างเหมาะสม คุณหมอจึงได้แสดงตารางเปรียบเทียบน้ำหนักที่ควรเพิ่มขณะตั้งครรภ์ โดยใช้เกณฑ์คำนวณจากดัชนีมวลกาย ดังนี้

       รู้จักกิน - สร้างสุขภาพครรภ์ดี
      
       นอกจาก การดูแลน้ำหนักตัวแล้ว คุณหมอบอกต่อว่า คุณแม่ต้องมีโภชนาการด้านการกินที่ดี และเหมาะสมด้วย ซึ่งเรื่องของสารอาหารถือเป็นเรื่องสำคัญ และจะขาดไม่ได้เลย เพราะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูกในท้องให้มีสุขภาพดี และแข็งแรง โดยคุณแม่ต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เช่น โปรตีน ช่วยในการเจริญเติบโตของลูกน้อย ไอโอดีน ช่วยพัฒนาสมอง และกล้ามเนื้อของลูกให้เป็นไปตามปกติ พบได้จากอาหารทะเล และเกลือเสริมไอโอดีน
      
       คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องกินธาตุเหล็กเพิ่มเป็น 2 เท่า เพราะเมื่อตั้งครรภ์ ร่างกายจะสร้างปริมาณน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้น และพยายามสร้างเม็ดเลือดตามมา เพื่อรับรองกับการเสียเลือดขณะคลอด ดังนั้นเหล็กจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงได้อย่างพอเพียง ถ้าเกิดเหล็กน้อยเกินไป ร่างกายจะซีด เวลาคลอดทำให้ตกเลือดได้ง่าย ซึ่งหาพบได้ในผักใบเขียว โดยเฉพาะมะเขือพวงจะมีเหล็กเยอะมาก หรือพบในเนื้อสัตว์ เป็นต้นคุณหมออธิบาย

       ขณะที่กรดโฟลิก คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องได้รับเพิ่มเป็น 2 เท่าเช่นกัน โดยเฉพาะ 3 เดือนแรก หรือ ก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งมีผลวิจัยออกมาชัดเจนว่า กรดโฟลิกจะช่วยลดความพิการของสมอง หรือกะโหลกศีรษะของลูกน้อยได้ ซึ่งถ้าครอบครัวใดมีประวัติการเป็นโรคดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับสารอาหารตัวนี้อย่างเพียงพอ ส่วนบ้านไหนที่ไม่มีประวัติ จะช่วยลดการเป็นโรคได้ถึง 70 เปอร์เซ็น ซึ่ง กรดตัวนี้พบได้ในผักใบเขียว ตับ เป็ด ไข่แดง ซึ่งมีความจำเป็นต่อการแบ่งเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์สมองของลูกน้อย ทางที่ดีควรกินตั้งก่อนตั้งครรภ์
      
       ส่วนคาร์โบไฮเดรทต้องกินอย่างน้อย 20 ส่วนต่อวัน ถ้าคุณแม่ที่เป็นเบาหวาน จะต้องลดลงเหลือ 16 ส่วนต่อวัน วิธีการนับคือ ข้าว 1 ทัพพี เท่ากับ 2 ส่วน ปกติคนเรากินข้าว 2 ทัพพี 1 มื้อจึงเท่ากับ 4 ส่วน 3 มื้อ 12 ส่วน เหลือของว่างให้กินอีก 8 ส่วน ไม่ว่าจะเป็น นม 1 กล่องคือ 1 ส่วน ไข่ 1 ฟอง 1 ส่วน ขนมปัง 1 แผ่น 1 ส่วน ส่วนผลไม้ เช่น ทุเรียน 1 เม็ดเท่ากับ 1 ส่วน ส้ม 1 ลูกเท่ากับ 1 ส่วน มะม่วงครึ่งลูกเท่ากับ 1 ส่วน ลิ้นจี่/ลำไย 4 ลูกเท่ากับ 4 ส่วน หรือส้ม 1 ลูกเท่ากับ 1 ส่วน เป็นต้น

       การ กินที่ไม่ทำให้น้ำตาลขึ้นเร็วเกินไปนั้น ต้องเคี้ยวช้าๆ เนื่องจากสมองจะตอบสนองความอิ่มจากน้ำตาล ถ้ากินเร็วจะรู้สึกอิ่มช้า เพราะสมองตอบรับสภาพน้ำตาลไม่ทัน สำหรับการกินช้าๆ จะช่วยให้การย่อยดี ลูกในครรภ์ก็จะแข็งแรง และมีสุขภาพที่ดีจากการคุมอาหารของคุณแม่เองด้วย คุณหมออธิบาย
      
       กินแล้วอย่านอน ออกกำลังกายกันดีกว่า
  
    
       กับเรื่องนี้ คุณหมอบอกว่า คนไทยส่วนใหญ่ออกกำลังกายน้อยมาก หรือบางคนบอกว่าออกแล้ว ออกเต็มที่เลย แต่แค่วันละ 5 นาทีแล้วหยุด ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย ส่วนคนท้องก็สามารถออกกำลังกายได้เช่นกัน แต่ควรออกกำลังในลักษณะเบา อย่าออกแรงหนัก และอย่าออกแรงเร็ว ควรให้เวลากับการออกกำลังกายประมาณ 30 นาทีหรือมากกว่านั้น อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง เช่น เดินเบาๆ การยืด การเหยียดร่างกาย เล่นโยคะ การออกกำลังกายในน้ำ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และมีพลังในการเบ่งคลอดได้มากขึ้น
   
    
       อย่างไรก็ตาม คุณหมอแนะนำว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ควรออกกำลังกายของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานบ่อยๆ เพราะการออกกำลังกายในส่วนนี้จะช่วยให้ช่องคลอดขยายตัวได้ง่ายขึ้น ลดการฉีกขาดของฝีเย็บ ลดอาการปัสสาวะเล็ด ซึ่งกล้ามเนื้อในส่วนนี้ประกอบด้วย 2 กลุ่มคือ มัดใหญ่ และมัดเล็ก โดยกลุ่มมัดใหญ่ทำได้ง่ายด้วยการขมิบยาวๆ ครั้งละ 5 - 10 วินาที ส่วนมัดเล็กขมิบสั้นๆ ครั้งละ 2 วินาที ทำวันละหลายๆ ครั้ง จะช่วยผ่อนคลายได้ดีมาก
      
       คุณ แม่สามารถทำได้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์เลย และทำต่อเนื่องจนหลังคลอด จะช่วยป้องกันการหย่อนของอุ้งเชิงกราน เช่น มดลูกหย่อน กระบังลมหย่อน หรือท้องผูกเนื่องจากการหย่อนของช่องคลอด ดังนั้นเวลานั่งว่างๆ ก็หาเวลาทำ ซึ่งคุณแม่ทั้งหลายก็ทำได้คุณหมอแนะนำ
      
       ทั้งหมด นี้ คือการดูแลสุขภาพของว่าที่คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ เพื่อระหว่างการตั้งครรภ์ และหลังคลอดจะได้มีสุขภาพดี และกลับมาสวยปิ้ง มีความมั่นใจเหมือนเดิม ซึ่งกลับคืนสู่สภาพได้เร็ว เพราะได้เตรียมพร้อม และดูแลสุขภาพร่างกายมาเป็นอย่างดี
      
       ถึง แม้จะอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ก็ไม่เป็นอุปสรรคในเรื่องความสวยอีกต่อไป ซึ่งคุณหมอบอกว่า อยากแต่งก็แต่งไปเลย เปิดโอกาสให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และเสน่ห์มัดใจสามีได้อย่างเรียกได้ว่า ถึงท้อง ฉันก็สวย และสุขภาพดีได้ ขอเป็นกำลังใจให้กับว่าที่คุณแม่ทุกคนนะครับ

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : โรงพยาบาลบีเอ็นเอช



ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

ตรวจหาเชื้อเสี่ยงลด 'มะเร็งมดลูก'

ผู้เชี่ยวชาญสุขภาพเพศหญิงแนะตรวจหาเชื้อ HPV มีความเสี่ยง ช่วยลดการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ ระบุมะเร็งร้ายนี้คร่าหญิงเกือบ 500,000 คนต่อปี หญิงไทย 14 คนต่อวัน

ตรวจหาเชื้อเสี่ยงลด 'มะเร็งมดลูก'

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพศหญิงทั่วโลกร่วมประชุมในงาน Asia Oceania Research Organization on Genital Infections and Neoplasia (AOGIN) ที่ฮ่องกง มีความเห็นร่วมกันให้ทบทวนนโยบาย การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกในทวีปเอเชีย เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคที่สามารถป้องกันได้นี้ ซึ่งในแต่ละปีสตรีทั่วโลกเกือบ 500,000 คน ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายนี้ และครึ่งหนึ่งต้องเสียชีวิตลง โดยส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย ส่วนในไทยข้อมูลสำรวจประชากรไทย พ.ศ. 2553 พบว่ามีหญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกและเสียชีวิตเฉลี่ย 14 รายต่อวัน และไทยติดอันดับ 4 ของกลุ่มประเทศตะวัน ออกเฉียงใต้ที่พบอัตราการเสียชีวิต จากมะเร็งปากมดลูกสูงสุด

ทั้งนี้ สาเหตุหลักของมะเร็งชนิดนี้คือ เชื้อไวรัส Human Pa-pillomavirus (HPV) ที่ทำให้เกิดโรคกว่าร้อยละ 99 โดยเชื้อ HPV มี 14 สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงทำให้เกิดโรค และสายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด และก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกถึงร้อยละ 70 ในกลุ่มสตรีทั่วโลก

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการตรวจหาเชื้อที่มีความเสี่ยงสูงสำคัญมากในการที่ จะลดอัตราโรคมะเร็งปากมดลูกในภูมิภาค เนื่องจากการตรวจคัดกรองโดยวิธีแปปสเมียร์ (Pap smear) เป็นการหาความผิดปรกติของเซลล์ในปากมดลูกมากกว่าการตรวจหาเชื้อ และยังมีเจ้าหน้าที่ห้องแล็บที่เชี่ยวชาญสูงในการแปลผล ซึ่งเวลานี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยตรวจวินิจฉัยเชื้อ HPV ในร่างกายแล้ว

ตัวอย่างเทคโนโลยีนี้รวมถึงโซลูชั่นการตรวจมะเร็งปากมดลูกอย่างครบวงจร ของบริษัทโรช ไดแอกโนสติกส์ ที่ตรวจเชื้อ HPV สาย พันธุ์เสี่ยงสูงอย่างสายพันธุ์ 16และ 18และอีก 12สายพันธุ์ได้ในการตรวจเพียงครั้งเดียว ซึ่งการศึกษาในสหรัฐพบว่าสตรีที่มีเชื้อ HPV สาย พันธุ์ 16และ 18มีความเสี่ยงสูงกว่า สตรีทั่วไปถึง 35เท่าในการพัฒนารอยโรคก่อนมะเร็งปากมดลูก







ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

PG&P
สโนว์  ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม พีจีแอนด์พี  pg&pthai พีจีแอนด์พีไทย pgpthai พีจีพี thaipgp เพรสซิเด็นท์ เกรน พรอดักท์ สกัดจากธัญพืช ธัญพืชสกัด
PGPTHAI คลิปตัวอย่าง PG&P FEED PG&P

บทความที่ได้รับความนิยม

Backlinks